Monday, September 19, 2011

รวมภาพนักร้องเพลงคันหูสุดฮิต น้องจ๊ะ วงเทอร์โบ

รวมภาพนักร้องเพลงคันหูสุดฮิตสลายเทรนด์เกาหลีต้องเพลงคันหูนี่แหละจากวงเทอร์โบ เสียงได้ใจ ลีลาล้ำเลิศ ต้อง คันหู น้องจ๊ะ วงเทอร์โบ

น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (12)

น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (1)

น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (2)

น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (3)

น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (4)

น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (5)น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (6)
คันหู น้องจ๊ะ วงเทอร์โบ
น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (7)
คันหู น้องจ๊ะ วงเทอร์โบ
น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (8)
คันหู น้องจ๊ะ วงเทอร์โบ
น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (9)

น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (10)

น้องจ๊ะ คันหู วงเทอร์โบ (11)

Thursday, September 15, 2011

บทละคร รอยไหม ตอนที่ 8


สุริยวงศ์พาเรรินนั่งรถออกไปด้วยกัน ระหว่างทางเขาเห็นเธอยังตกใจกลัวไม่หาย จึงเอื้อมมือมาแตะหวังปลอบใจ แต่เรรินสะดุ้งสุดตัวเพราะขวัญกระเจิง

“ขอโทษครับ...ผมขอโทษ ผมน่าจะฆ่ามันให้ตายคามือไปเลย” สุริยวงศ์แค้นไม่หาย

ชายหนุ่มตัดสินใจพาเรรินไปพักที่บ้านของเขา เพราะเกรงว่า ธนินทร์จะตามไปทำร้ายเธอที่รีสอร์ตอีก เรรินปฏิเสธเพราะเกรงใจ แต่สุริยวงศ์ยืนยันว่า ความปลอดภัยของเธอสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น

“คุณรู้ได้ยังไง ว่าธนินทร์คิดร้ายกับฉัน”

“คุณรินจะโกรธผมรึเปล่า ถ้าผมจะบอกว่า ผมตาม

คุณรินไปห่างๆตั้งแต่คุณรินออกจากคุ้มเจ้าหลวงแล้ว ถึงต้องตายผมก็ยินดีปกป้องคุณรินด้วยชีวิตของผมครับ” สุริยวงศ์ให้คำมั่น

เรรินแทบน้ำตาร่วง สุริยวงศ์ถามเรื่องแจ้งความ เรรินส่ายหน้าขอให้ทุกอย่างจบลงเท่านี้ สุริยวงศ์เข้าใจเขาเปลี่ยนเรื่องชวนเธอขึ้นไปพัก เรรินขยับจะลุกแต่ก็ชะงักเพราะคลำไม่เจอสร้อยที่คอ
“ตายจริง...สร้อยค่ะ สร้อยเส้นนั้นขาดไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอาไว้ผมจะหาเส้นใหม่มาให้” สุริยวงศ์รับปาก
เวลาเดียวกันนั้น ธนินทร์กลับไปให้สรัญญาช่วยทำแผลที่โรงแรม สรัญญาเตือนให้เตรียมหาคำตอบแก้ตัวกับผู้ใหญ่ให้ดี เพราะเรรินต้องแจ้งความเอาเรื่องเขาแน่
“กูไม่กลัวหรอกโว้ย ถ้ามันคิดจะเดินจากไปง่ายๆ ก็ฝันไปเหอะ” ธนินทร์แค้นไม่เลิก
วันต่อมา วันดารามาหาสุริยวงศ์พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าของเรริน เพราะสุริยวงศ์โทร.บอกเธอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว วันดารากอดเรียกขวัญให้เรรินพลางแนะนำให้อยู่กับสุริยวงศ์ ที่นี่ก่อนเพื่อความปลอดภัย
“รินกลายเป็นภาระของพี่วันกับคุณสุริยะแท้ๆ”
“อย่าอู้อย่างอั้นคุณริน ปี้กับสุริยะบ่เกยคิดอย่างอั้นเลย สำหรับปี้ คุณรินเหมือนน้องสาวแต้ๆของปี้คนหนึ่ง”
“ขอบคุณค่ะพี่วัน รินไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี”
“คุณรินสบายใจ๋ปี้ก่อสบายใจ๋ อยู่ตี้นี่บ่ต้องเกรงใจ๋อะหยังทั้งนั้น...หรือว่าถ้าคุณรินอยากจะกลับกรุงเทพฯ  ปี้ก่อจะได้จองตั๋วเครื่องบินหื้อ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่วัน รินยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ รินมีธุระบางอย่างที่นี่ ที่อยากจะทำให้เสร็จเสียก่อนค่ะ” เรริน มุ่งมั่น
วันดาราไม่ซักต่อ แต่สุริยวงศ์เริ่มแน่ใจแล้ว ว่าธุระของเรรินคืออะไร
ooooooo
สรัญญาแวะมาหาวงพระจันทร์ที่ห้องเสื้อ เธอพูด เป็นนัยๆเรื่องปัญหาหัวใจระหว่างวงพระจันทร์กับสุริยวงศ์ หวังหาแนวร่วมจัดการกับเรริน เวลาเดียวกันนั้นบัวเงินเปิดกล่องเครื่องประดับ แล้วค่อยๆหยิบสิ่งหนึ่งซึ่งเล็กจิ๋วออกมาวางบนฝ่ามือ
“หม่อมกะเจ้า อิ๋นคำตั๋วนี้ หม่อมยังเก็บฮักษาไว้อยู่อีกก๊าเจ้า” ผีอีเม้ยคลานเข้ามา
“กูเกยคิดว่าคงบ่มีโอกาสได้ใจ้มันแล้ว แต่พอกูหันความง่าวของอีวงพระจันทร์ กูก็อดบ่ได้” บัวเงินมองอิ๋นคำในมือหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต ครั้งที่เธอนำอิ๋นคำมาบูชา และร่ายคาถายาวเหยียดหวังเรียกให้เจ้าศิริวัฒนากลับมารักกลับมาหลง แต่เจ้าศิริวัฒนาเรียกมณีรินขึ้นไปหาในห้อง
ทำงาน และถอดแหวนทับทิมเม็ดเป้งออกจากนิ้วก้อย มาสวมที่นิ้วนางของเธอ
“แหวนวงนี้ยังบ่ใจ่แหวนแต่งงานเน้อเจ้าริน แหวนตี้อ้ายจะสวมหื้อเจ้าริน แม่เจ้าเปิ้นยังเลือกเพชรบ่ได้ น้ำยังบ่ถูกใจ๋เปิ้น สล่าพันเปิ้นก่อฮ้อนใจ๋ กลั๋วว่าจะทำแหวนหื้อบ่ตัน” เจ้าศิริวัฒนาเอ่ย
มณีรินไหว้เจ้าศิริวัฒนาทั้งที่ในใจไม่อยากได้เลยสักนิด
บัวเงินที่แอบดูอยู่กับอีเม้ยทนดูไม่ได้ถลันเข้ามาแทรกพลางทัก ว่าแหวนที่นิ้วนางมณีรินงามนัก
“อ้ายเพิ่งหื้อเจ้ารินเปิ้นเดี๋ยวนี้เอง เจ้ารินเปิ้นจ่วยอ้ายแปลเอกสารภาษาฝรั่ง” เจ้าศิริวัฒนาตอบ
“เจ้านางน้อยนี้เก่งแต๊ๆสมแล้วตี้มาเป็นกู่บุญบารมีเจ้าอ้ายนะเจ้า” บัวเงินเอื้อมมือไปจับมือมณีริน ทำทีเป็นชื่นชม แต่ในใจคลั่งแค้นยิ่งนัก
บัวเงินกลับมาอาละวาดที่เรือน อีเม้ยกระโดดหลบหนีตายเป็นพัลวัน มันรอจนบัวเงินอารมณ์เย็นลงจึงเข้ามาแนะนำ
“หม่อมเจื่อเม้ยเต๊อะ อีมณีรินมันต้องทำเสน่ห์ยาแฝดใส่เจ้าเปิ้นแน่ๆ บ่ยังอั้นเจ้าเปิ้นบ่หลงมันจนขาดสติอย่างนี้หรอก เม้ยผ่อบ่ผิดหรอกอีพวกมาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนมนต์ดำมันแฮงนัก”
“แล้วกูจะทำอย่างไดดีอีเม้ย” บัวเงินหันมาปรึกษา
“บ่ยากหรอกเจ้าหม่อม มันเล่นมนต์ดำมาเฮาก่อต้องตอบมันกลับไปด้วยมนต์ดำเหมือนกั๋น” อีเม้ยมีแผนในใจ
ooooooo
เรรินเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น และเห็นรูปถ่ายเจ้าศิริวัฒนาตั้งอยู่ก็ชะงักเธอเดินเข้าไปหารูปถ่ายนั้นเหมือนต้องมนต์พลางเอ่ย
“เจ้าคะ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ยังไงฉันก็จะกลับเข้าไปทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จให้ได้ค่ะ”
“เจ้าศิริวัฒนา ท่านปู่ของผมเองครับ” สุริยวงศ์ตามเข้ามา
เรรินตกใจหันกลับมาถาม “ท่านเป็นปู่แท้ๆของคุณเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ คุณปู่แท้ๆของผมท่านเป็นญาติห่างๆ ลูกพี่ลูกน้องกับท่านน่ะครับ ท่านปู่ศิริวัฒนาท่านไม่มีลูกหลาน”
“แล้วคุณย่าบัวเงินของคุณ...ไม่ได้แต่งงานกับท่านเหรอคะ”
“ผู้ใหญ่บางคนก็เล่าว่าท่านได้แต่งงานกันแต่บางคนก็ว่าไม่ทันได้แต่งงานครับ คุณย่าเองก็เหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ผมก็เลยไม่กล้าถาม แปลกนะครับปกติคนแก่มักชอบเล่าเรื่องในอดีตให้ลูกหลานฟัง แต่คุณย่าของผมท่านกลับไม่...หลายวันก่อนผมไปเยี่ยมท่าน ท่านยังถามถึงคุณรินอยู่เลย” สุริยวงศ์นึกได้
“ถามถึงฉัน” เรรินสยอง
“ครับ...ท่านยังว่า อยากเจอคุณรินอีกสักครั้ง จะได้ให้คุณรินชมผ้าโบราณของท่านด้วย” สุริยวงศ์ยิ้มจริงใจ แต่เรริน กลับหนาวสะท้านเมื่อนึกถึงเรื่องราวของบัวเงินกับผีอีเม้ย
สุริยวงศ์บอกกับเรรินว่า วันนี้เขามีธุระหลายอย่างต้องออกไปทำ และคงจะกลับตอนเย็นๆขอให้เธอพักผ่อนตามสบาย และถ้ามีอะไรก็โทร.หาได้ตลอดเวลา
“ขอบคุณค่ะ” เรรินยิ้มให้
สุริยวงศ์เดินไปขึ้นรถแล้วขับรถออกไป เรรินมองตามจนแน่ใจว่าชายหนุ่มไปแล้วแน่ จึงเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า และเก็บของใช้ประจำตัวใส่ย่าม แล้วแอบย่องออกมาจากบ้านพร้อมความมุ่งมั่นที่จะทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จและไม่รู้ตัวเลยว่า สุริยวงศ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในรถสะกดรอยตามเธอไป
ขณะที่สุริยวงศ์แอบติดตามเรริน เรื่องราวในอดีตก็ดำเนินมาถึงตอนที่ อีเม้ยเข้ามารายงานบัวเงินเรื่องหมอทำเสน่ห์ “เม้ยไปสืบมาแล้วกะเจ้าหม่อม หมอคนนี้เปิ้นบ่ใจ่คนเมือง แต่เปิ้นมาอยู่เจียงใหม่เมินหลายปี๋แล้ว เปิ้นรอบรู้วิชาคุณไสยทางเขมรปุ๊นไผไปทำก่อได้ผลกั๋นกู้คน อีแม่ญิงหน้าดำแก่หนังเหี่ยวหนังยาน ผัวไปเอาเมียน้อย หมอเปิ้นทำพิธีหื้อบ่ตันข้ามวัน ผัวเปิ้นยังกลับมาหาเลยนะเจ้าหม่อม”
“กูกั๋วนะอีเม้ย มึงก็ฮู้ ใครเล่นคุณไสยมนต์ดำ มันเป๋น เรื่องผิดอาญาแผ่นดิน ถ้าถูกจับได้โทษถึงตัดหัวประจานเชียวนะมึงอีเม้ย” บัวเงินหน้าเครียด
“หม่อมบ่ต้องกั๋ว บ่มีไผฮู้เรื่องนี้หรอก ถ้าเคราะห์ร้ายความจะแตกจริงๆ เม้ยจะยอมฮับผิดแต๋นหม่อมเองก่อได้ ขอแค่ได้หันหม่อมของเม้ยมีความสุขจะเอาเม้ยไปฆ่าแกงตี้ไหนก่อได้เม้ยยอมทั้งนั้น” อีเม้ยถวายชีวิต
“โธ่...อีเม้ย กูจะหาขี้ข้าตี้ไหนหัวใจ๋ประเสริฐอย่างมึงบ่มีอีกแล้ว” บัวเงินซาบซึ้งใจ
ooooooo
เรรินกลับเข้ามาในคุ้มหลวงได้อีกครั้ง  เธอตรงไปที่ห้องทอผ้าและใช้เทคนิคคล้องกุญแจพรางสายตาผู้คนเพื่อเข้าไปในนั้น สุริยวงศ์ที่แอบดูอยู่นึกประหลาดใจ ขณะที่เรรินก็เข้าประจำที่แล้วลงมือทอผ้าต่อ
เจ้าศิริวัฒนาปรากฏกายขึ้น เขาแสดงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเตือนไม่ให้เรรินไปพบบัวเงินตามคำเชิญเพราะสองนายบ่าวโหดเหี้ยมมาก
“เจ้าไม่มีวันให้อภัยหม่อมบัวเงินได้” เรรินเงยหน้าขึ้น
“คุณไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเองเถอะ แล้วคุณจะรู้ว่า คนอย่างบัวเงินสมควรจะได้รับการให้อภัยหรือไม่” เจ้าศิริวัฒนาพาเรรินกลับไปในอดีต
ชาวบ้านมุงดูปาหี่มายากลกันอย่างสนุกสนานกลางตลาด เจ้าศิริวงศ์ยืนปะปนอยู่ด้วย บัวเงินกับอีเม้ยที่แต่งเป็นชาวบ้านเดินผ่านมาทั้งคู่ดูรีบเร่ง เจ้าศิริวงศ์หันไปเห็นก็จะเข้าไปทักแต่เฉลียวใจ เพราะปกติบัวเงินจะไปไหนต้องมีบ่าวไพร่ติดตามมากมายเพื่อให้สมเกียรติ เจ้าหนุ่มจึงได้แต่มองตามทั้งคู่ที่เดินหายไปทางป่าช้าหลังวัด
เพียงครู่เดียวอีเม้ยก็พานายของมันลัดเลาะมาถึงบ้านหมอเสน่ห์ บัวเงินชักกลัวรีบถามย้ำกับอีเม้ย
“มึงแน่ใจ๋ก๊ะอีเม้ย ว่าเปิ้นจะเก็บความลับของกูเอาไว้ได้”
“เม้ยบ่ได้บอกเปิ้นว่าหม่อมเป๋นไผหม่อมบ่ต้องกั๋วหรอกเจ้า ตบรางวัลหื้อเปิ้นงามๆก่อปอใจ๋แล้ว อีกอย่างขืนเปิ้นปากสว่างภัยก่อมาถึงตั๋วเปิ้นเอง เปิ้นฮู้” อีเม้ยนำบัวเงินเข้าไป
ในห้องพิธีอับทึบคละคลุ้งด้วยควันธูปโต๊ะตั่งตั้งเครื่องบูชาสารพัดสิ่งศักดิ์สิทธิ์สายคุณไสยมนต์ดำ หมอเสน่ห์ลืมตาขึ้นจากบริกรรมเอ่ยทักบัวเงิน
“งามขนาดนี้ทำไมผัวทิ้ง มึงเคยถามตัวเองไหม”
“อีคนนั้นมันทำเสน่ห์ใส่ผัวนายเฮาก่อน ป้อหมอต้องจ่วยนายเฮา” อีเม้ยตอบแทน
“กูเลิกทำเรื่องพรรค์นี้มาเมินแล้ว มึงก่อฮู้ อาญาแผ่นดินถึงขั้นตัดหัวเชียวนะมึง” หมอเสน่ห์เล่นตัว
บัวเงินรู้ทันหยิบถุงเงินออกมาเท ตามด้วยกำไลทองในแขนเป็นค่าตอบแทน จนหมอพอใจ
ขณะที่หมอเสน่ห์ทำพิธีให้บัวเงินอยู่นั้น มณีรินก็ออกมาช่วยบริวารแผ่ถั่วเน่าเป็นแผ่นเพื่อนำไปตากแดด เธอพยายามจะถอดแหวนของเจ้าศิริวัฒนาออกเพราะทำงานไม่ถนัด คำเที่ยงร้องห้ามอ้างว่า เจ้าศิริวัฒนาจะเสียใจ แต่มณีรินไม่ฟัง เธอย้อนถามคำเที่ยงว่าชอบแหวนวงนี้มากใช่ไหม คำเที่ยงตอบรับหวังเอาใจ
“งั้นเฮาหื้อปี้คำเที่ยง...ใส่ไว้เน้อ” มณีรินถอดแหวนยัดเยียดใส่มือคำเที่ยงแล้วหันไปละเลงถั่วเน่ากับบริวารเป็นที่สนุกสนาน คำเที่ยงมองอย่างระอาใจ

บทละคร รอยไหม ตอนที่ 7

 
มณีรินกลับมาถึงเรือน ก็สั่งคำเที่ยงให้ออกไปเสาะหาฝ้าย เพื่อนำมาทอผ้าห่มพระธาตุแข่งกับบัวเงิน

“อ้าว ก็ปี้หันเจ้ารินเฉยๆบ่อยากจะแข่งขันกับไผ” คำเที่ยงแปลกใจ

“เฮาเปลี่ยนใจ๋แล้ว เฮาจะแข่ง แล้วเฮาก่อต้องการจะเป๋นผู้ชนะด้วย ผ้าของเฮาต้องได้ห่มองค์พระธาตุบ่ใจ่ห่มฐาน”

“ป๊าด อะหยังดลจิตดลใจ๋เจ้ารินของปี้กันเนาะ บอกปี้ได้ก่อ”

“บ่มีอะหยัง เฮาแค่อยากถวายเป๋นพุทธบูชา” มณีรินเก็บอาการ

“ถ้าจะอั้น เจ้ารินบ่ต้องห่วงปี้จะฮื้อคนไปสืบฮื้อ งานนี้หม่อมบัวเงินหงายหลังเงิบแน่บ่ฮู้จักคนเจียงตุงเสียแล้ว ถึงคราวสู้ สู้ยิบตาขนาดไหน” คำเที่ยงฮึกเหิมออกหน้าออกตา แล้วรีบเกณฑ์บริวารออกไปช่วยกันเสาะหาฝ้าย
เมื่อเรื่องรู้ไปถึงหูอีเม้ย มันรีบเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย “อีคำเที่ยงมันเที่ยวฮื้อคนของมันไปเสาะถามว่าตี้ไหนมีฝ้ายงามๆผ่องมันจะเอามาฮื้อนายของมันตอผ้าแข่งกับหม่อมเจ้า”

“ต่อหน้ามันทำหงิมๆลับหลังมันก้อคิดจะล้างกู อีเม้ยมึงรีบส่งคนของเฮาออกไปนอกคุ้ม จาวบ้าน บ้านไหนมันเก็บฝ้ายแล้ว เอามาหื้อหมด อย่าฮื้อเหลือแม้แต่ดอกเดียว บอกมันไปว่า เจ้าหลวงเปิ้นสั่ง”

“หื้อเม้ยอ้างเจ้าหลวงเปิ้นไปเลยละเจ้า จะดีก๊าเจ้า หม่อมเจ้า”

“มึงจะกั๋วอะหยังอีเม้ย กูอยู่ตรงนี้ตั้งคนอีบ้านไหนมันขยักฝ้ายเอาไว้มึงก่อขู่มันไปว่าต้องโดนตัวหัว อีบ้านไหนมันอิดๆออดๆมึงก็เอาเงินฟาดหัวมันไป กูต้องได้ฝ้ายทุกดอกในเจียงใหม่ เพราะกูอยากจะหันน้ำหน้าอีมณีรินว่า ถ้ามันบ่มีฝ้ายซักดอกเดียวหื้อมันหัน มันจะเอาปัญญาตี้ไหนมาแข่งกะกู”

“ป๊าด หม่อมของเม้ยนี่เป๋นแม่ญิงตี้ฉลาดปราดเปรื่องตี้สุดในล้านนานี้เลยเจ้า” อีเม้ยประจบแล้วคลานออกไปเรียกบริวาร “อีพวกเด็กๆมึงมานี่กั๋นหื้อหมดหม่อมเปิ้นมีงานสำคัญจะหื้อพวกมึงทำ”

เหล่าบริวารเข้ามาร่วมประชุม บัวเงินกระหยิ่มมั่นใจว่า ชนะมณีรินแน่นอน

ooooooo

ดึกแล้วแต่เจ้าศิริวงศ์ไม่อาจข่มตาลงได้ เขาหยิบโคลงล้านนาของมณีรินมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกถ้อยคำยิ่งตอกย้ำความทุกข์ในความรัก เพราะทางออกสำหรับปัญหานี้ช่างมืดมน เจ้าหนุ่มเดินลงมาในสวน เพื่อสงบจิตใจ แต่กลับเห็นบัวเงินและอีเม้ยเดินสวนมาจึงรีบหลบ เขาได้ยินบัวเงินไล่ให้อีเม้ย กลับไป เพราะคืนนี้จะอยู่รับใช้เจ้าศิริวัฒนาถึงเช้า

“หม่อมอย่าลืมร่ายคาถา ก่อนเข้าห้องเจ้าเปิ้นนะเจ้า เปิ้นจะได้ฮักได้หลงหม่อมคนเดียว บ่ต้องไปคิดถึงอีคนเฮือน ปู้น” อีเม้ยเตือน

“เออ กูมีอิ๋น อยู่กับตัวอยู่แล้ว...มึงคอยไค่หัวเอาไว้หื้อดีเต๊อะ ถ้ากูได้ลูกกับเจ้าอ้ายของกูก่อนเปิ้นจะแต่งงานกับอีมณีริน มันจะยะหน้ายังได ไป...มึงปิ๊กได้แล้ว” บัวเงินไล่

อีเม้ยรับคำสั่งเดินแยกกลับออกไป บัวเงินมุ่งหน้าไปที่ตึก บ่าวมองตามนาย เจ้าศิริวงศ์นึกห่วงมณีรินต้องเจอศึกหนักเมื่อแต่งงานกับเจ้าศิริวัฒนา

บัวเงินเข้ามาหยุดหน้าห้องเจ้าศิริวัฒนา เธอประนมมือขึ้นร่ายคาถางึมงำปลุกเสกความขลังของอิ๋น แล้วเป่าเพี้ยงๆอยู่หลายที แต่ยังไม่ทันท่องคาถาจบ ประตูห้องก็เปิดออก บัวเงิน ชะงักเข้าใจว่าขลังจริง นางรีบถามเจ้าศิริวัฒนาว่า กำลังจะลงไปหาตนหรือ

“เปล่าพี่แค่จะไปห้องน้ำ”

“งั้นน้อง เข้าไปคอยในห้องเจ้าพี่นะเจ้า” บัวเงินจะเข้าห้อง

เจ้าศิริวัฒนาร้องห้ามอ้างว่า คืนนี้ต้องทำงานเรื่องเอกสารต่อให้เสร็จและเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว บัวเงินฉีกยิ้มอาสานวดให้ แต่เจ้าศิริวัฒนายืนยันคำเดิมแล้วไล่ให้บัวเงินกลับเรือนไป บัวเงินกร่อยสนิท
เมื่อบัวเงินไม่อยู่อีเม้ยก็ได้โอกาสขึ้นไปนั่งบนที่ของบัวเงินแล้วเรียกบริวารมาบีบนวดทำเหมือนเป็นนายอีกคน สักพักบัวเงินก็กลับมาถึง นางตวาดจนอีเม้ยสะดุ้งสุดตัว กระโจน ลงมาจากที่นั่งแทบไม่ทัน
“อีเม้ย มึงกล้าดียังไงขึ้นไปนั่งบนที่กู” บัวเงินเสียงเขียว
“เม้ย...เม้ย...เม้ยแค่อยากลองนั่งดูว่ามันสบายจริงรึเปล่าเจ้า เผื่อไม่สบายจะได้เย็บฟูกน้อยมารองเจ้า ทำไมหม่อมกลับมาไวนัก หรือว่าเจ้าเปิ้น...” อีเม้ยแอบยิ้มนึกไปไกล
“คาถาของมึงไม่เห็นจะได้ผล เจ้าพี่ไล่ตะเพิดกูลงมานี่”
“เป็นไปได้ยังไง เม้ยว่าหม่อมท่องผิดหรือไม่อย่างนั้นก็ท่องไม่ครบมากกว่า” อีเม้ยอ้าง
บัวเงินนิ่งคิดเห็นจริงดังอีเม้ยว่าจึงยอมให้อภัย อีเม้ยได้ทีใส่ไฟต่อว่า บางทีมณีรินอาจใช้มนต์ที่แรงกว่าบัวเงินก็เป็นได้จึงทำให้เจ้าศิริวัฒนาลุ่มหลง
“อีมณีริน” บัวเงินแค้น
สายวันต่อมา คำเที่ยงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาฟ้องมณีรินที่ช่วยบริวารพลิกตากดอกกรรณิการ์ในกระด้ง เพื่อเตรียมเก็บไว้ใช้ย้อมสีจีวรว่า หนานอินคนที่นางใช้ให้ไปเสาะหาฝ้ายกลับมาแล้วแต่ไม่ได้ฝ้ายกลับมาสักดอก เพราะหม่อมบัวเงินให้คนไปกว้านซื้อมาหมดแล้ว
“เป็นไปได้ยังไง” มณีรินไม่อยากเชื่อ
“หนานอินเปิ้นว่า ถ้าไม่ใช้วิธีขู่เข็ญเอากับชาวบ้าน ก็ทำเป็นขอซื้อแต่ให้เงินนิดหน่อยไม่พอยาไส้ชาวบ้านก็เลยต้องยกฝ้ายให้จนหมด”
“เปิ้นคงต้องการเป็นผู้ชนะคนเดียวจริงๆ”
“แล้วทีนี้ เราจะทำยังไงกัน ไม่มีฝ้ายสักดอก แล้วจะทอผ้าได้ยังไง เจ้าริน”
“เอาเถอะ เฮาว่าเฮามีวิธี เอื้อยบัวเงิน เปิ้นน่าจะรู้ว่าการแข่งขันอย่างยุติธรรมมันเป็นยังไง พี่คำเที่ยงรีบเอากระชุนั่นไปเก็บดอกกรรณิการ์มาให้หมด เฮาอยากรู้เหมือนกันว่าต่อให้เปิ้นทอผ้าได้ แต่ถ้าเปิ้นไม่มีดอกกรรณิการ์ย้อมสีจีวร ผ้าเปิ้นจะเอาขึ้นห่มพระธาตุได้ยังไง ถ้าเปิ้นอยากได้ดอกกรรณิการ์ เปิ้นก็ควรจะเอาฝ้ายมาแบ่งปันกัน เราถึงจะแบ่งดอกกรรณิการ์ให้” มณีรินคิดแผนต่อรอง
“มันต้องย้อนเข้าให้ยังงี้ซะบ้าง เนาะ เจ้ารินเนาะไป อีพวกเด็กๆ ไปกับข้า หื้อโวยโวย” คำเที่ยงร้องเรียกเหล่าบริวาร
เพียงครู่เดียว คำเที่ยงก็นำบริวารเข้ามาเก็บดอก กรรณิการ์ในสวนพลางกำชับว่าให้เก็บให้หมด อย่าให้เหลือ แม้แต่ดอกเดียว อีเม้ยพาบริวารของตนเข้ามาถึงพอดี มันตรงเข้าต่อว่าคำเที่ยงและอ้างสิทธิ
“นี่มันต้นไม้ของนายกู พวกมึงจะมาเก็บดอกไปได้ยังไง”
“มึงไม่ต้องมาทำเสียงดัง วางอำนาจใส่กูอีเม้ย ที่ตรงนี้หรือตรงไหนก็ไม่ใช่สมบัติของนายมึงทั้งนั้น เพราะที่นี่เป็นเขตคุ้มเจ้าหลวงโว้ย ท่าทางมึงอยากได้ดอกกรรณิการ์นักละสิ เสียใจด้วยเน้อ พวกกูเก็บหมดแล้วถ้ามึงอยากได้นัก ก็กลับไปบอกนายมึงให้เอาฝ้ายมาแบ่งนายกูซะดีๆ และจะได้เห็นกันว่า ฝีมือทอผ้าใครมันจะแน่กว่าใคร” คำเที่ยงยื่นเงื่อนไข
“ถุย...อีคำเที่ยง นายมึงก็แค่เด็กหัดทอผ้า เผยอจะมาแข่งกับนายกู มึงน่ะแหละกลับไปบอกนายมึง ถ้าอยากได้ฝ้ายกำมือหนึ่ง ก็ให้ไปกราบตีนนายกู กราบทีหนึ่งก็เอาฝ้ายไปกำมือหนึ่ง กูว่าควรจะได้ฝ้ายพอทอแข่งกับนายกู นายมึงคงต้องกราบตีนนายกูจนหลังหักน่ะแหละ” อีเม้ยหัวเราะสะใจ เหล่าบริวารพลอยหัวเราะตาม
“จะเอาดอกมาให้กูดีๆ หรือต้องให้ใช้กำลัง” อีเม้ยวางท่าขู่
“มา...มึงอยากได้มึงเข้ามา” คำเที่ยงถกผ้าซิ่นรอ
อีเม้ยเดินตรงรี่เข้ามาตบคำเที่ยง หวังจะแย่งกระชุดอกกรรณิการ์ แต่คำเที่ยงกอดกระชุแน่นแล้วถีบสวน อีเม้ยหน้าคะมำ คำเที่ยงตามไปซ้ำ ขณะที่เหล่าบริวารต่างจับคู่กันตบตีกันเหมือนโกรธเกลียดกันมาข้ามภพข้ามชาติ เพื่อช่วงชิงกระชุดอกกรรณิการ์
อีเม้ยแพ้หมดรูปหอบสังขารกลับไปฟ้องบัวเงิน บัวเงินแค้นใจเพราะอีเม้ยไม่ได้ดอกกรรณิการ์กลับมาสักดอกเลย แต่เธอไม่ยอมแพ้สั่งให้อีเม้ยส่งคนออกไปขุดขนุนต้นใหญ่เพื่อนำแก่นมาต้มย้อมสีจีวรแทนดอกกรรณิการ์
“อีมณีรินมันคงคิดว่า แค่กูไม่มีดอกกรรณิการ์ กูจะย้อมสีจีวรไม่ได้ละมัง แก่นขนุน รากขนุน  มีถมถืดไป กูไม่จนหนทางง่ายๆหรอก” บัวเงินมุ่งมั่นจะเอาชนะให้ได้
ด้านมณีริน เธอรู้สึกผิดที่ทำให้คำเที่ยงกับบริวารต้องเจ็บตัว และไม่คิดว่างานบุญจะกลายเป็นงานบาปไปจนได้ คำเท่ียงยุให้มณีรินไปฟ้องเจ้าหลวงกับพระชายาเรื่องฝ้าย แต่มณีรินไม่ยอมเพราะไม่อยากให้ทั้งสองไม่สบายใจด้วยเรื่องเล็กน้อย
“เรื่องแบบนี้ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกก๊า เจ้าริน”
“เอาเถอะ เฮาจะถือว่ามารมาผจญไม่ให้เฮาได้บุญเท่านั้นเอง เฮาว่าสติปัญญาเฮายังมี ยังไงก็ต้องมีหนทางออกจนได้น่ะแหละ” มณีรินคิดหาทางออก
ooooooo
มณีรินกับบัวเงินขึ้นเฝ้าเจ้าหลวงกับพระชายา มีเจ้าศิริวัฒนาและเจ้าศิริวงศ์นั่งอยู่ด้วย เจ้าศิริวัฒนาเห็นคำเที่ยงเนื้อตัวเขียวช้ำก็เอ่ยถามว่า ไปทำอะไรมา คำเที่ยงขยับจะฟ้อง แต่มณีรินส่งสายตาปรามไว้ คำเที่ยงจำต้องระงับปากบอกเพียงว่า ตนสะดุดขาตัวเองหกล้มพลางจิกสายตาไปทางอีเม้ยที่ยิ้มเยาะอยู่
“นังเม้ยก็พอกัน สะดุดขาตัวเองหกล้มเหมือนกันรึไง”พระชายามองมาที่อีเม้ยเพราะสภาพไม่ต่างจากคำเที่ยงนัก
อีเม้ยปดว่า มันถูกหมาไล่ บัวเงินรีบแต่งเรื่องต่อ “นังเม้ยมันออกไปนอกคุ้ม ไปหาเตรียมแก่นขนุนมาให้ข้าเจ้าย้อมสีฝ้ายวันห่มผ้าพระธาตุน่ะเจ้า หมาชาวบ้านมันเลยไล่กัดเอา”
“งานนี้แลกกันด้วยเลือด เจ็บตัวกันตั้งแต่ยังไม่ถึงวันงานเลยนะครับแม่เจ้า วันงานคงแข่งกันสนุกแน่” เจ้าศิริวัฒนาอมยิ้ม
“เป็นยังไงบ้างเจ้านางน้อย มีปัญหาอะไรไหม ขาดเหลืออะไรบ้างรึเปล่า”เจ้าหลวงนึกห่วง
“บ่เจ้า บ่มีปัญหาอะหยังเจ้า”มณีรินก้มหน้านิ่งคำเที่ยงกระสับกระส่ายอยากให้นายพูดความจริง บัวเงินได้ทีรีบเย้ย
“เจ้านางน้อย เปิ้นคงจะเร่งวันเร่งคืน อยากให้ถึงวันงานเร็วๆ  เพราะเปิ้นคงอยากจะแสดงฝีมือทอผ้าของเปิ้นเต็มที่แล้วละเจ้า”
มณีรินพยายามสะกดอารมณ์ เจ้าศิริวงศ์เห็นอาการก็นึกสงสัย จึงแอบเรียกคำเที่ยงมาสอบถาม
“วันนี้นายเจ้าไม่สบายรึไง ไม่พูดไม่จา หน้าตาก็เครียดเหมือนโกรธใครมา”
“เจ้ารินเปิ้นกำลังเครียด เรื่องทอผ้าแข่งกับหม่อมบัวเงิน เปิ้นน่ะสิเจ้า”
“แพ้ชนะ เป็นเรื่องธรรมดา ความภาคภูมิใจมันอยู่ที่ได้พยายามอย่างเต็มกำลังแล้วรึเปล่าต่างหาก”
“ก็นี่แหละเจ้า เจ้ารินถึงได้เครียด แพ้ชนะบ่กลัวแต่กลัวการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมมากกว่า เพราะมันเท่ากับเจ้ารินแพ้ตั้งแต่ยังบ่ได้เริ่มแข่ง”
“เจ้าหมายความว่ายังไง คำเที่ยง”
“เจ้าน้อยดูเอาเถอะเห็นแล้วเชื่อรึเปล่าล่ะเจ้า ว่าข้าเจ้าเดินสะดุดขาตัวเองหกล้ม”คำเที่ยงชูแผลให้ดูพลางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าศิริวงศ์ฟังอย่างอัดอั้นตันใจ
หลังบอกเล่าความจริงกับเจ้าศิริวงศ์ไปแล้ว คำเที่ยงก็กลับมาที่เรือน ก็พบมณีรินในชุดทะมัดทะแมงจะออกไปหาไหมออมในป่าละเมาะเพื่อนำมาทอผ้าแทนฝ้ายคำเที่ยงจะค้านแต่มณีรินชิงพูดขึ้นก่อน
“เฮารู้ว่าพี่คำเที่ยงคงคิดว่าเฮาบ้าไปแล้ว แต่คนอย่างเฮาบ่ยอมแพ้อย่างหมดหนทางสู้หรอก ยิ่งเปิ้นอยากให้เฮาแพ้ เฮายิ่งต้องทำให้เปิ้นเห็นว่า เฮาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน เฮาจะออกไปเสาะเก็บไหมออม”
“กินข้าวก่อน แล้วค่อยว่ากัน บ่ดีก๊า พี่หิวไส้จะขาดแล้วเน้อ”คำเที่ยงต่อรอง
“อดข้าวมื้อเดียวน่ะ บ่ตายหรอก แต่ถูกปล้นศักดิ์ศรีไปน่ะมันต้องเจ็บใจไปจนตายเชียวนะพี่คำเที่ยง”มณีรินเดินนำออกไป
คำเที่ยงพยายามฮึดทั้งที่หิว พลางรีบตามเจ้านางน้อยไป
ooooooo
บัวเงินรู้ว่ามณีรินออกไปเก็บไหมออมในป่ามาทอผ้าก็หัวเราะร่วนด้วยความสะใจ เพราะต่อให้เก็บไหมออมหมดป่าเชียงใหม่ก็ทอได้แค่ผ้าห่อคัมภีร์เท่านั้น
“อีพวกนี้มันง่าวนัก ง่าวจริงๆเลยนะเจ้าหม่อม” อีเม้ยผสมโรง
“ไหมออม...ผ้าห่มพระธาตุไหมออม ให้มันทอทั้งชาติ ถึงจะห่มมิดองค์ละ” บัวเงินยิ่งคิดยิ่งขำ
ขณะที่สองนายบ่าวนั่งหัวเราะครื้นเครงอยู่ในเรือน คำเที่ยงหน้าอมทุกข์สุดๆเพราะกว่าจะได้ไหมออมสักรังไม่ใช่เรื่องง่ายๆนางเก็บไหมไปพลางบ่นไปพลางเพราะทั้งคันทั้งร้อนทั้งหิว
“บ่นนัก บ่ได้บุญเน้อ พี่คำเที่ยง” มณีรินล้อขำๆแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
คำเที่ยงกลัวไม่ได้บุญรีบกลับลำ “บ่ ฮ้อนเลย อากาศดีจริงๆบ่คันเลย หมอแต่ดอกไม้ บ่หิวเลย เหมือนอิ่มทิพย์จริงๆ”
เจ้าศิริวงศ์รู้เรื่องมณีรินออกมาเก็บไหมออมจึงตามมาดูแลด้วยความเป็นห่วง พลางตัดพ้อเรื่องที่เธอไม่ยอมบอกว่าไม่มีฝ้าย
“เฮาบ่ใช่คนขี้ฟ้อง อีกอย่างการแข่งขันครั้งนี้มันเป็นเรื่องของเฮากับเอื้อยบัวเงิน”
“โตบ่มีทางชนะเอื้อยบัวเงินได้หรอก ถ้าแพ้แล้วโตจะร้องไห้ขี้มูกโป่งกี่วัน”
“เฮาบ่ใช่เล็กๆถึงจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“บ่ ใช่เด็ก แต่วิธีที่โตทำอยู่ตอนนี้มันเป็นวิธีของเด็กๆ ถ้างั้น ก็บอกมาว่าทำไมถึงเกิดอยากจะชนะ ทั้งที่ทีแรกโตไม่คิดอยากแข่งขันด้วยซ้ำไป”
“ก็ใครล่ะที่บอกว่า ถ้าผ้าของเฮาได้ขึ้นห่มองค์พระธาตุจะฝากเครื่องสักการะขึ้นไปถวายเป็นพุทธบูชาด้วยนะ ใครกัน” มณีรินหลุดออกมา
เจ้าศิริวงศ์อึ้ง มณีรินละอายใจที่หลุดปากบอกความจริงออกไปจึงหันหลังหนี ทำทีเป็นหาไหมง่วน เจ้าศิริวงศ์เดินเข้ามา พยายามมองมณีรินผ่านพุ่มไม้ที่ขวางกั้น แต่มณีรินไม่ยอมสบด้วย
เจ้าศิริวงศ์เก็บไหมได้รังหนึ่งก็เดินมายื่นให้มณีรินด้วยรอยยิ้ม มณีรินเอื้อมมือมารับไหมรังน้อยไป แล้วปั้นยิ้มตอบ
“ขอบใจ” มณีรินเก็บรังไหมใส่กระชุที่คล้องแขนอยู่แล้วรีบเดินหนีเพราะกลัวจะห้ามใจตัวเองไม่อยู่ แต่เจ้าศิริวงศ์ยังตามไม่เลิก จนเธอต้องหันมาถาม “ไม่มีงานมีการทำรึยังไง ถึงได้มาเล่นสนุกเป็นเด็กๆอยู่อย่างนี้”
“ใครบอกว่า เฮาเล่นสนุก เป็นเด็กๆนี่ก็งานของเฮา เหมือนกัน”
“จะเสาะเก็บก็ไปเสาะที่อื่นไป ป่าตั้งออกกว้าง”
“โตไล่เอาก๊า งั้นเฮาไปเน้อ ไปแล้วเฮาก็จะไม่กลับมาอีก เลยเน้อ” เจ้าศิริวงศ์ทำหน้าเศร้าขยับจะออกไป
“เรื่องของโต ใครเขาจะไปว่าอะไรล่ะ” มณีรินแอบมองตามแล้วถอนใจ เอื้อมมือไปเก็บรังไหมรังหนึ่ง แต่ต้องสะดุ้งชักมือกลับทันที เพราะโดนผึ้งต่อยที่ปลายนิ้วก้อย เธอเรียกให้คำเที่ยงมาช่วย แต่เจ้าศิริวงศ์วิ่งพรวดกลับมาทันที แล้วช่วยดูดพิษเอาเหล็กในออกให้ ทั้งสองสบตากันนิ่งเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วกัปชั่วกัลป์
“เจ้าริน อะไรเจ้า งูก่อเจ้า ฮ้องเสียจนพี่ตกใจ” คำเที่ยงวิ่งเข้ามา แล้วต้องตาค้างเพราะเห็นเจ้าศิริวงศ์จับมือมณีรินอยู่
มณีรินรู้ตัวดึงมือออกจากมือเจ้าศิริวงศ์ คำเที่ยงเอ่ยถามว่า เจ้าศิริวงศ์มาได้อย่างไร
“เจ้าอ้าย เปิ้นให้เฮาตามมาดูแลเฮาไปก่อนเน้อ” เจ้าศิริวงศ์เดินออกไป
คำเที่ยงมองตามแล้วหันมาคาดคั้นเจ้านางน้อยด้วยสายตา มณีรินรีบเก็บพิรุธฟ้องว่า เธอโดนผึ้งต่อย
“หน้าตาเจ้าริน บ่ค่อยปวดเท่าไรเลยนี่เจ้า”
“ปวดสิ...ปวดจะต๋าย”
“ผึ้งตัวนี้ท่าทางพิษของมันจะแรงกว่าพิษงูซะอีกนะเนี่ย” คำเที่ยงมึนหนัก
ooooooo
เมื่อกลับมาถึงเรือน มณีรินก็ก้มหน้าก้มตาคัดรังไหมป่าแต่ละรังออกจากเศษผงเศษใบไม้อย่างตั้งใจ เพราะได้กำลังใจดี จนตกค่ำ คำเที่ยงถือตะเกียงน้ำมันคลานเข้ามา
“พี่ปูสะลีกางมุ้งให้เจ้ารินเรียบร้อยแล้วเน้อ...เจ็บก้อยมากไหม เจ้าริน...เจ้าริน”
“เจ้า...อะไรนะพี่คำเที่ยง พี่คำเที่ยงว่าอะไรนะ” มณีรินไม่ทันได้ฟัง
“ช่างหัวมันเต๊อะ คำถามของพี่มันคงไม่สำคัญอะไรหรอก ดึกแล้วเข้านอนเต๊อะ”
“ไหมออมทั้งกระชุนี่คงจะพอทอได้แค่ผ้าผืนน้อยเดียวเนาะพี่คำเที่ยง”
“พอไก่ขัน เราก็จะออกไปเสาะเก็บไหมออมกันอีกไง เจ้ารินเสาะเก็บจนกว่าจะพอนั่นแหละ”
“เลิกพูดจากระทบกระแทกเฮาเสียที พรุ่งนี้เฮาจะทอไหมออมผืนน้อยนี้”
“จะทอได้ยังไง เจ้าริน ยังบ่ถึงวันแข่งขันเลย”
“คงจะมีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละเราถึงจะมีฝ้ายให้ทอแข่งกับเปิ้น ผ้าไหมออมผืนน้อยนี้ เฮาจะปักลายบัวบาน ถวายพระธาตุแทน”
“นิ้วก้อยก็บวมเจ็บขนาดนั้น จะทอผ้าปักผ้ายังไงไหว”
“ไหวสิ...ไหว เฮาบ่เจ็บแล้ว” มณีรินยิ้มมีความสุข
คำเที่ยงเห็นอาการของเจ้านางน้อยก็จำต้องเอ่ยเตือน “เจ้าริน...พี่ก็ได้แต่เตือนเจ้ารินเน้อ จะทำอะไรเจ้ารินก็ต้องนึกถึงพ่อเจ้า แม่เจ้าที่เชียงตุงบ้านเกิดของเฮาไว้ให้มากๆ เน้อ พลาดพลั้งสิ่งใดเปิ้นจะเสียใจที่สุด”
มณีรินชะงักเพราะคำพูดของคำเที่ยงโดนใจอย่างจัง
มณีรินลุกขึ้นมาทอผ้าไหมออมแต่เช้า ขณะที่เธอกำลังเพลินอยู่กับการทอผ้า เจ้าศิริวัฒนาก็แวะมาเยี่ยมเพราะคำเที่ยงไปบอกว่า เจ้านางน้อยของตนถูกผึ้งต่อยเมื่อวานนี้ แถมพี่เลี้ยงตัวดียังช่วยเปิดทางหยิบยามาให้เจ้าศิริวัฒนาช่วยทาให้มณีรินด้วย และบังเอิญว่าอีเม้ยมาสอดแนมพอดี จึงได้เห็นภาพนั้นเต็มตา มันรีบกลับไปฟ้องบัวเงินพร้อมตอกไข่ใส่สี
“เจ้าเปิ้นจับมืออีมณีรินเอาไว้ แล้วก็หอมมือมันด้วย ส่วนอีมณีรินมันก็ดัดจริต ทำท่าเอียงไปอายมา น่าตบแท้ๆ หม่อมเชื่อเม้ยเถอะเจ้า อีนั่นมันต้องเล่นคาถาอาคมแน่ๆ มนต์ฮ้องผัวไงเจ้า นี่ขนาดยังบ่ได้เข้าพิธีอภิเษกเจ้าเปิ้นยังหลงมันหัวปักหัวปําขนาดนี้ ถ้าอภิเษกแล้วมันคงยิ่งไม่เห็นหัวหม่อมหนักกว่านี้เข้าไปอีกนะเจ้า”
“มึงหุบปากมึงได้แล้วอีเม้ย มึงยิ่งพูดกูยิ่งปวดใจ” บัวเงินตวาด
“หม่อมกะเจ้า หม่อมบ่ต้องกลัวหรอกเจ้า ยังไงเม้ยก็จะอยู่ข้างหม่อม จะช่วยหม่อมจนกว่าหม่อมจะสมหวังเจ้า วันพูกทอผ้าแข่ง หม่อมต้องหักหน้ามันให้ได้ เจ้าเปิ้นคงจะกลับมาเห็นหม่อมอยู่ในสายตาบ้างละเจ้า” อีเม้ยให้กำลังใจ
หลังจากเจ้าศิริวัฒนากลับไปแล้ว มณีรินก็เข้าไปต่อว่า คำเที่ยงเพราะไม่ชอบใจที่นางใช้วิธีการน่าละอายมาเรียกร้องความสนใจ
“มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้เจ้ารินใจคอเตลิดเปิดเปิงไปกับคนอื่นละเจ้า” คำเที่ยงแย้ง
“พี่คำเที่ยง เฮากับเจ้าน้อย บ่ได้คิดอะไรต่อกันมากไปกว่าความเป็นเพื่อน เฮารู้ตัวดี ว่าควรจะทำตัวยังไง” มณีรินเดินหนีไป คำเที่ยงมองตามพลางถอนใจ
ooooooo
ไหมออมที่ทอเสร็จถูกขึงอยู่ในสะดึงไม้ มณีรินกำลังปักลวดลายด้วยไหมสีอ่อนหวาน เป็นลายบัวบานอย่างตั้งใจเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเจ้าศิริวงศ์ผุดพรายขึ้นมา ทำให้มณีรินยิ่งมีกำลังใจและมุ่งมั่นจะปักผ้าให้เสร็จภายในคืนนี้
วันที่ทุกคนรอคอยมาถึง ช่างฟ้อนนำขบวนเสด็จ เจ้าหลวง พระชายา เจ้าศิริวัฒนา มณีริน บัวเงิน และเหล่าข้าราชบริพารมาที่หน้าพระธาตุ เพื่อทำพิธีตามราชประเพณี
“วันนี้เป็นวันดีที่พวกเราได้มารวมจิตศรัทธาบูชาคุณพระพุทธร่วมกัน ปีหนึ่งมีเพียงหนเดียวที่พวกเราจะมีโอกาสถวายผ้าห่มองค์พระธาตุของพวกเรา และปีนี้ยิ่งเป็นโอกาสพิเศษ เราไม่ได้ทอผ้าห่มเพียงผืนเดียว แต่เราจะทอถึงสองผืนจากนาทีนี้ไปจนครบ หนึ่งวันเต็มใครทอผ้าเห็นผืนจนย้อมได้เสร็จก่อนกัน ผ้าของผู้นั้นจะได้ขึ้นห่มถวายองค์พระธาตุ ผ้าของใครเสร็จทีหลังก็ได้ห่มถวายฐานองค์ เราขอเริ่มการแข่งขันเดี๋ยวนี้” เจ้าหลวงประกาศ
บัวเงินยิ้มกระหยิ่มใจ มองมณีรินจิกด้วยหางตา พนักงานตีฆ้องให้สัญญาณเริ่มการแข่งขัน บริวารบัวเงินช่วยกันลากกระสอบฝ้ายเข้ามาและเทดอกฝ้ายลง

เจ้าศิริวัฒนาเห็นมณีรินยังยืนเฉยก็แปลกใจหันไปกระซิบกับพระชายา พระชายาเอ่ยถามมณีรินว่าเกิดอะไรขึ้น มณีรินว่า เธอไม่มีบุญบารมีพอเพราะแม้แต่ดอกฝ้ายยังหาไม่ได้จึงขอถอนตัวจากการแข่งขัน

“มันยังไงกันบัวเงิน ทำไมเจ้าถึงมีฝ้าย แต่เจ้านางน้อยไม่มี” เจ้าหลวงมองมาที่บัวเงิน

“ข้าเจ้าก็บ่ฮู้เจ้า พอฮู้ว่าจะต้องทอผ้าถวายห่มพระธาตุ

ข้าเจ้าก็ให้คนข้าเจ้าออกไปเสาะฝ้าย ชาวบ้านที่ฮู้ว่าผ้าผืนนี้จะได้ขึ้นห่มถวายองค์พระธาตุ ก็ศรัทธาให้ฝ้ายข้าเจ้ามาจนหมด ข้าเจ้า บ่ต้องเสียเงินซื้อหา” บัวเงินตีหน้าซื่อ

คำเที่ยงคันปากอยากเถียงแต่พูดไม่ได้ พระชายาหันไปปรึกษากับเจ้าหลวงว่าจะทำอย่างไรดี

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ วันนี้ก็คงไม่มีการแข่งขันละมัง ปล่อยให้บัวเงินทอไปคนเดียวก็แล้วกัน” เจ้าหลวงตัดสิน

“แต่ไหนๆเจ้านางน้อยเปิ้นก็มีจิตศรัทธาจะร่วมบุญวันนี้อยู่แล้ว ถ้าเปิ้นบ่รังเกียจ เปิ้นก็มาเป็นลูกมือปั่นฝ้ายกรอฝ้ายช่วยเด็กๆของข้าเจ้าก็ได้นะเจ้า” บัวเงินยิ้มเยาะ

“เจ้านางน้อยจะว่ายังไง” พระชายาถามความเห็น

มณีรินไม่ทันได้เอ่ยอะไร เจ้าศิริวงศ์ก็เดินเข้ามากลางลานแข่งขัน แล้วตอบแทน “การแข่งขันจะต้องมีขึ้นแน่พ่อเจ้า แม่เจ้า...ฝ้ายสำหรับเจ้านางมณีริน ทอผ้าห่มถวายพระธาตุมาถึงแล้ว” ขาดคำ คนงานชายก็แบกกระสอบฝ้ายมากมายเข้ามาเทลงกองกับพื้น

มณีรินยิ้มได้ดีใจสุดๆขณะที่บัวเงินกับอีเม้ยหน้าถอดสี

ooooooo

“คุณย่าเจ้า คุณย่า ตกลงคุณย่าจะร่วมเป็นเจ้าภาพถวายผ้าห่มองค์พระธาตุรึเปล่าเจ้า” วันดาราเอ่ยถาม

บัวเงินที่นั่งนิ่งจมอยู่ในอดีตได้สติหันมาตวาด “อย่ามายุ่งกับกู...กูไม่เป็นเจ้าภาพอะไรทั้งนั้น บุญกรรมมันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น อีพวกทำชั่วได้ดีมีถมไปอย่ามายุ่งกะกู ไสหัวลงจากเรือนกูไปเดี๋ยวนี้...ไป้”

วันดาราเห็นบัวเงินอารมณ์แปรปรวนรุนแรงจนน่ากลัว ก็รีบกระเถิบถอยออกไป

บัวเงินนั่งอึ้งแววตาเจ็บแค้นหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง

ที่ลานแข่งทอผ้า บริวารบัวเงินเร่งมือช่วยกันตีฝ้ายไล่เมล็ดฝ้ายออกจากดอกเป็นระวิง อีเม้ยไม่ได้ดั่งใจลงไปลุยเอง ขณะที่มณีริน คำเที่ยงตีฝ้ายกับบริวารอย่างสนุกสนาน เวลาผ่านไป บัวเงินกรอฝ้ายเป็นเส้นด้ายละเอียดเสมออย่างชำนาญ ส่วนมณีรินก็กรอฝ้ายได้เส้นละเอียดไม่แพ้กัน เธอเงยหน้าขึ้นมองหาใครสักคน ก็เห็นเจ้าศิริวงศ์แฝงตัวอยู่อีกมุมไกลๆยืนส่งยิ้มให้ มณีรินใจเต้นแรง เรี่ยวแรงที่จะต้องเอาชนะให้ได้ไม่รู้มาจากไหน หัวใจของเธอเหมือนติดปีกบิน และแอบส่งยิ้มตอบกลับไป

ระหว่างที่บริวารกำลังช่วยกันเข็นฝ้าย อีเม้ยก็มาตามให้บัวเงินไปกินข้าวกินปลาเพื่อจะได้มีแรงไว้ทอผ้า แต่บัวเงินกินไม่ลง เพราะแค้นใจที่เจ้าศิริวงศ์ช่วยหาฝ้ายมาให้มณีรินจนได้

“หันอีมณีรินมันลอยหน้าลอยตาแล้ว กูอยากจะบีบคอมันหื้อตายคามือนัก” บัวเงินกัดฟันกรอด

“ใจ๋เย็นๆเต๊อะเจ้า คิดซะว่าดวงมันยังดี หม่อมยังบ่ได้แป๊มันชะหน่อย เอาไว้เริ่มตำหูกแต๊ๆมันจะฮู้สึกผอมเป๋นไม้เสียบผีอย่างมันจะตำหูกได้ซักกี่น้ำกั๋น จะไดหม่อมก็ต้องชนะมันแน่เจ้า” อีเม้ยเอาใจ

บัวเงินหน้าเครียดบอกกับตัวเองว่า ต้องชนะเท่านั้น ขณะที่มณีรินก็ลงแรงช่วยคำเที่ยงและบริวารเข็นฝ้ายกันเป็นระวิง เจ้าศิริวงศ์เดินเข้ามานั่งยองๆลงด้านหลังคำเที่ยง แต่คำเที่ยงไม่ทันเห็นเพราะมั่วแต่พล่าม

“เจ้ารินไปพักเอาแฮงก่อนเต๊อะ เข็นฝ้ายได้อีกหน่อยก่อจะต้องเริ่มตำหูกแล้ว งานนี้ปี้ว่าหม่อมบัวเงินเปิ้นบ่ออมแฮงแน่ ปี้จำได้ติดหูติดตาตอนตี้เจ้าน้อยเปิ้นหื้อคนขนฝ้ายเข้ามาลูกตาหม่อมบัวเงินเปิ้นแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ทำท่าเหมือนจะขาดใจ๋ตายไปซะตอนนั้นหื้อได้ จะว่าไปเจ้าน้อยเปิ้นก็เหมือนพระมาโปรดเหมือนกั๋นเนาะเจ้ารินถ้าบ่ได้เปิ้น ป่านนี้หม่อมบัวเงินก่อคงหัวเราะเยาะเจ้ารินจนเหงือกแห้งไปแล้ว”

“ปี้คำเที่ยงอยากขอบใจ๋เปิ้นก่อขอบใจ๋เลยเน้อ” มณีรินอมยิ้มเพราะเห็นเจ้าศิริวงศ์แล้ว

“โอ้ย...ถ้าเปิ้นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ปี้ก่อว่าจะก้มลงกราบแทบเท้างามๆซักกำนึงอยู่หรอก”

“ถึงกับกราบเชียวรึ” เจ้าศิริวงศ์ล้อ

คำเที่ยงสะดุ้งสุดตัวเมื่อหันไปเห็นศิริวงศ์ นางรีบยกมือไหว้แล้วคลานต้วมเตี้ยมออกไปอยู่ข้างๆมณีรินเพื่อแอบฟังการสนทนา มณีรินถามเจ้าศิริวงศ์ว่า ไปซื้อฝ้ายมาจากไหน

“ลำปูน เฮาบ่ได้ใจ้เงินแม้แต่แดงเดียว จาวบ้านแค่ฮู้ว่าเจ้านางมณีรินจะตอผ้าขึ้นห่มถวายองค์พระธาตุ ก่อเต๋มใจ๋ศรัทธาขอฮ่วมทำบุญกั๋นมาคนละเล็กละน้อย อย่างตี้ตั๋วหันนี่แหละ”

“เฮาจะบ่ทำหื้อจาวบ้านผิดหวัง ขอบใจ๋เน้อ เจ้าน้อย” มณีรินยิ้มให้รู้สึกมีกำลังใจขึ้นเป็นกอง

เจ้าศิริวงศ์ยิ้มตอบแล้วขยับลุกออกไปหาเจ้าศิริวัฒนา

“ที่เจ้าขอลางานไปวันนึงที่แท้ก็ไปหาฝ้ายให้เจ้ารินเปิ้นนี่เอง” เจ้าศิริวัฒนาทัก

“มีงานด่วนอะหยังรึเปล่าครับเจ้าอ้าย”

“บ่มีอะหยังหรอก แต่ความจริงเจ้าน้อยน่าจะบอกปี้ตามตรงว่าเจ้ารินเปิ้นมีปัญหา”

“ทีแรกน้องก็บ่ฮู้ เจ้านางน้อยเปิ้นบ่อยากหื้อปัญหาของเปิ้นเป๋นภาระคนอื่น”

“เจ้ารินเปิ้นเป๋นแม่ญิงตี้งดงามทั้งกายทั้งใจ๋แต๊ๆ ปี้ว่านับวันปี้ก่อยิ่งฮักเปิ้นขึ้นทุกที โตภูมิใจ๋ก่อ ตี้มีปี้สะใภ้อย่างเจ้าริน” เจ้าศิริวัฒนายิ้มปลื้ม
“ภูมิใจ๋ครับ ภูมิใจ๋นักขนาด” เจ้าศิริวงศ์จำต้องตอบออกไป

ooooooo

บัวเงินขยับลงนั่งที่กี่ทอผ้า หยิบกระสวยขึ้นมาเตรียมเริ่มทอเป็นผืน เช่นเดียวกับมณีรินที่ขยับเข้านั่งที่กี่ทอผ้าเหมือนกัน บัวเงินหันไปมองมณีรินพลางยิ้มเหยียด แต่มณีรินไม่ถือสา เธอส่งยิ้มใสซื่อให้บัวเงินเช่นเดิมแล้วลงมือทอผ้า

“มันยิ้มเยาะหม่อมเจ้า...มันคงคิดว่ามันจะเอาชนะหม่อมได้ละมัง หม่อมบ่ต้องกลัว...เดี๋ยวเม้ยจะส่งคนของเรา ไปแกล้งมันเอง แค่แอบไปตัดฝ้ายที่มันปั่นเอาไว้มันก็ทอบ่ทันหม่อมแล้ว” อีเม้ยเข้ามากระซิบ

“อีเม้ย มึงคิดว่ากู ต้องแพ้มันรึไง มึงกำลังดูถูกฝีมือกู”

“เม้ย บ่ได้คิดอย่างนั้น”

“มึงไม่ต้องสาระแน ทำอะไรทั้งนั้น กูต้องการชนะอีมณีรินด้วยฝีมือของกู” บัวเงินประกาศกร้าว แล้วเร่งทอผ้าอย่างเอาจริงเอาจัง เสียงฟืมกระแทกดังหนักแน่นไม่หยุด ผิดกับเจ้านางมณีรินที่ บรรจงทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและประณีตอย่างที่สุดจนคำเที่ยงชักห่วง

“เจ้าริน ได้ซักสองศอกรึยังเจ้า พี่เห็นหม่อมบัวเงินเปิ้น

กระแทกเอาๆไม่รู้เปิ้นไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน ขืนมัวต้วมเตี้ยมทออยู่อย่างนี้ พี่ว่าเจ้ารินจะแพ้เปิ้นเอานา”

“ถึงตอนนี้แล้ว บ่ใช่ว่าเฮาบ่อยากชนะเน้อพี่คำเที่ยง แต่เฮาอยากตั้งใจทำถวายองค์พระธาตุให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ชาวบ้านเปิ้นอุตส่าห์มีศรัทธา แบ่งปันฝ้ายมาให้เฮา เฮาขอความสงบให้เฮามีสติได้คิดถึงแต่พระเถอะ เลิกกวนเฮาเสียที” มณีรินหันมาดุแล้วก้มหน้าก้มตาทอผ้าต่อ

คำเที่ยงจำใจถอยออกมา แล้วหันไปเร่งพวกบริวารที่ปั่นฝ้ายกันเป็นระวิงแทน

ค่ำแล้ว คำเที่ยงกับบริวารเข้ามาจัดอาหารไปให้มณีรินที่ลานแข่งขันและได้พบกับอีเม้ยที่มาจัดอาหารไปให้บัวเงินเช่นกัน อีเม้ยท้าตบกับคำเที่ยง แต่คำเที่ยงปฏิเสธเพราะวันนี้ตนมาทำบุญ

“มึงอยากจะเป็นหมาบ้ามึงก็เป็นของมึงไปคนเดียวละกัน” คำเที่ยงเชิดใส่อีเม้ยและจะเดินออกไป อีเม้ยยื่นขาออกมาขวาง หวังจะให้คำเที่ยงสะดุดหัวทิ่มแต่คำเที่ยงชะงัก “กูรู้ทันมึงหรอกอีเม้ย คนอย่างมึงนี่นอกจากเป็นหมาบ้าแล้ว ยังเป็นหมาลอบกัดอีกต่างหาก” คำเที่ยงกระทืบตีนอีเม้ย แล้วเผ่นออกไป บริวารรีบตาม

“อีคำเที่ยง...ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” อีเม้ยหันกลับมาชนบริวารตัวเอง อีนุงตุงนัง สำรับกับข้าวเรี่ยราด อีเม้ยเอ็ดตะโรโวยวาย แล้วเข้าไปตามบัวเงิน

“หม่อมกะเจ้าหม่อมพักกินข้าวกินปลาเสียก่อนเถอะเจ้า ทอได้เยอะแล้ว”

“กูตาลายไปหมดแล้วอีเม้ย” บัวเงินล้างมือในอ่างจะลุกไปกินข้าว แต่สายตาเหลือบไปเห็นมณีรินยังก้มหน้าก้มตาทอผ้าอยู่ก็ชะงักกึก “กูบ่กิน กูจะแพ้มันบ่ได้” บัวเงินหันกลับไปทอผ้าต่อ

“หม่อมบ่กินแล้วเม้ยจะกินได้ยังไง โธ่ หม่อมกะเจ้า เม้ยหิวจนไส้จะขาดแล้วนะเจ้า” อีเม้ยครวญ

ผ้าชุดแรกของมณีรินกับบัวเงินถูกตัดออกจากกี่ อีเม้ยกับคำเที่ยงนำเหล่าบริวารออกไปช่วยกันย้อมผ้าแต่ไม่วายมีปากเสียงกันอีก อีเม้ยเถียงสู้คำเที่ยงไม่ได้ก็ท้าตบ

“เอ๊ะ อีนี่ พูดจาไม่รู้เรื่อง เอะอะก็ชวนตบชวนตี กูบอกแล้ววันนี้กูไม่ว่าง มึงคึกนักก็ไปกัดกับหมาก่อนละกัน” คำเที่ยงกับบริวารหัวเราะสนุก

“ฝากไว้ก่อนเหอะมึง นายมึงแพ้เมื่อไหร่พวกมึงจะซีด” อีเม้ยขู่

ดึกแล้วผู้คนบางตา มณีรินทอผ้าจนล้า เธอละสายตาจากกี่มองออกไป ก็เห็นศิริวงศ์ยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ที่เดิม มณีรินยิ้มตอบแล้วลงมือทอผ้าต่อ ทั้งคู่มองกันผ่านแสงวอมแวมของดวงประทีปที่วิบวับอยู่รอบๆ

ooooooo

เช้าวันใหม่ขบวนเสด็จนำเจ้าหลวง พระชายา เจ้าศิริวัฒนา กลับมาที่พระธาตุอีกครั้งเพื่อติดตามผลการแข่งขัน บัวเงินและมณีรินเย็บประกอบผ้าจนเสร็จในเวลาไล่เลี่ยกัน พนักงานตีฆ้องเป็นสัญญาณหมดเวลาการแข่งขัน บัวเงินส่งยิ้มเหยียดใส่มณีริน เพราะมั่นใจในชัยชนะ

พนักงานนำผ้าของบัวเงินและมณีรินไปวัดความยาวและขานเป็นวาๆไป จนกระทั่งสุดผ้าก็เกิดเรื่องแต่น่าประหลาดใจเพราะผ้าของทั้งคู่ยาวสามสิบสองวาเท่ากันพอดี

“พ่อเจ้าจะตัดสินยังไงครับ” เจ้าศิริวัฒนาเอ่ยถาม

“ก็นั่นน่ะสิ ผ้าทั้งสองผืนนี่ทอได้ความยาวเท่ากันพอดีอย่างนี้จะตัดสินยังไงล่ะ” เจ้าหลวงหนักใจ

“หม่อมบัวเงินเปิ้นทอเสร็จก่อน เปิ้นเย็บประกอบผ้าก็เสร็จก่อนนะเจ้า” อีเม้ยอ้าง

“เสร็จก่อนหลังไม่ใช่เรื่องสำคัญนังเม้ย กติกาคือทอเป็นผืนและเย็บให้พร้อมห่มถวายพระธาตุในเวลาที่กำหนดเท่านั้น” พระชายาตำหนิ
เจ้าศิริวัฒนาเสนอให้ใช้ผ้าทั้งสองผืนห่มพระธาตุด้วยกัน แต่บัวเงินร้องค้าน

“อย่างนั้น ก็เหมือนไม่ยุติธรรมน่ะเจ้า เจ้าพี่ น้องน่ะไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว แต่น้องไม่มั่นใจว่าเจ้านางมณีรินเปิ้นจะยอม ผ้าของใครจะอยู่ข้างนอกข้างใน มันจะเป็นเรื่องกินแหนงแคลงใจกันเปล่าๆเจ้า”

“ลูกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสินกันด้วยฝีมือความปราณีตเถอะครับ ให้แม่เจ้าเป็นคนตัดสิน” ศิริวงศ์เสนอ “อืม...ก็น่าจะยุติธรรมดีนะ น้องตัดสินเอาเถอะ ในสายตาผู้หญิงน้องว่าผ้าผืนไหนประณีตละเอียดลออ” เจ้าหลวงรับผ้าของมณีรินกับบัวเงินมาส่งให้พระชายา

พระชายาลูบคลำผ้าทั้งสองผืนท่าทางหนักใจ มณีรินรีบออกตัว “ข้าเจ้านับถือว่าเอื้อยบัวเงินเป็นแม่ครูของข้าเจ้าคนนึง วันนี้ข้าเจ้าขอนอบรับคำชม แต่ศิษย์จะฝีมือดีได้ก็เพราะได้แม่ครูที่ดี ข้าเจ้าขอให้เกียรติเอื้อยบัวเงิน ขอให้ผ้าของเปิ้นได้ห่มถวายองค์พระธาตุเถอะเจ้า”

ทุกคนอึ้งกับความเป็นนางเอกของมณีริน อีเม้ยสะใจ บัวเงินลำพอง แต่พระชายาไม่เห็นด้วย

“ผ้าสองผืนละเอียดลออประณีตพอๆกัน แต่ผ้าผืนนี้พิเศษกว่า เพราะเจ้านางน้อยอุตส่าห์ปักไหมออมผืนน้อย เข้ามาด้วย ถ้าจะให้แม่เป็นคนตัดสิน แม่ขอเลือกให้ผ้าของเจ้านางน้อยเป็นผู้ชนะ” สิ้นเสียงพระชายา คำเที่ยงกับบริวารก็เฮลั่น บัวเงินหน้าซีดไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ขณะที่อีเม้ยแทบขาดใจ

“เป็นอันว่า ผ้าของบัวเงินได้ห่มถวายฐานพระธาตุ ส่วนผ้าของเจ้านางมณีรินได้ห่มถวายองค์พระธาตุเน้อ” เจ้าหลวงประกาศ

เมื่อได้ผ้าที่จะใช้ห่มพระธาตุแล้ว พนักงานพิธีก็เข้าประจำที่ตรงเครื่องสักการะหน้าองค์พระธาตุ เจ้าหลวง พระชายา เจ้าศิริวัฒนา เข้ามาไหว้บวงสรวงพระธาตุ มณีรินยังประคองผ้าจีวรในพานตามเข้ามา เจ้าศิริวงศ์ขยับเข้ามาใกล้พลางกระซิบ “จะเป็นการรบกวนโตเกินไปรึเปล่า ถ้าเฮาจะฝากเครื่องสักการะของเฮาขึ้นไปถวายบูชาพระธาตุด้วย”

“ยังไงถึงเป็นการรบกวน” มณีรินตอบ

เจ้าศิริวงศ์ถอดแหวนทองในนิ้วก้อยออก ยกมือขึ้นไหว้แล้วส่งแหวนทองวงนั้นให้มณีริน มณีรินรับแหวนไปแล้วปลดปิ่นทองบนมวยผมออกผูกมัดปิ่นทองของตัวเองร้อยเข้ากับแหวนของเจ้าศิริวงศ์ แล้วผูกเข้ากับเส้นไหมบนผืนผ้าไหมออม เจ้าศิริวงศ์ยิ้มอิ่มบุญ อิ่มใจ มณีรินยืนนิ่งไม่กล้าสบตา

ooooooo

ผ้าจีวรห่มองค์พระธาตุกำลังถูกคลี่ห่มองค์ บัวเงิน อีเม้ยกับบริวาร ยืนมองดูอยู่ไกลๆด้วยความปวดใจ

“หม่อมกะเจ้า เม้ยว่าแม่เจ้าเปิ้นลำเอียงชัดๆไม่รู้จะเอาอกเอาใจมันไปถึงไหน หม่อมเก่งกว่ามันตั้งเยอะ ผ้าของหม่อมก็งามกว่าของมัน มันชนะหม่อมได้ยังไง” อีเม้ยใส่ไฟ

“หุบปาก กูไม่อยากฟัง กูไม่อยากเห็น ตั้งแต่เกิดมากูไม่เคยอัปยศ อดสูอะไรเท่าครั้งนี้เลย กูขอสาบานต่อหน้าพระ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ถ้ามีกูก็ต้องไม่มีอีมณีริน กูจะขอจองเวรจองกรรมกับมันทุกชาติไป” บังเงินอธิษฐาน

พิธีห่มพระธาตุเสร็จสมบูรณ์ เจ้าศิริวัฒนาขยับเข้ามาหามณีริน คำเที่ยงมุดต้วมเตี้ยมเปิดทางให้

“เหนื่อยไหม เจ้าริน” เจ้าศิริวัฒนาเอ่ยถาม

“เสร็จงานแล้วก็หายเหนื่อยแล้วเจ้า” มณีรินตอบสั้นๆ

“อดตาหลับขับตานอนมาทั้งคืนข้าวปลาบ่ได้กิ๋น จะบ่เหนื่อยได้จะไดเจ้าริน” คำเที่ยงรีบทำคะแนนแล้วหันมาทางเจ้าศิริวัฒนา “เมื่อคืนเจ้ารินเปิ้นบ่ยอมละสายตาจากกี่ทอผ้าเลยนะเจ้า ข้าเจ้าบ่ฮู้จะเอาใจจ่วยยังได สงซ้านสงสาร นี่คงจะปวดแขนปวดไหล่ไปหมดใจ่ก๊าเจ้า”

มณีรินแอบตาเขียวใส่คำเที่ยงที่อวดจนออกหน้าออกตา เจ้าศิริวัฒนาเอื้อมมือมาจับมือมณีรินไปกุมไว้

“ถ้ายังงั้นเดี๋ยวเจ้ารินต้องกลับไปพักผ่อนให้มากๆเน้อ พี่จะส่งหมอนวดมือดีๆไปนวดให้ด้วยดีไหม”

มณีรินจะปฏิเสธแต่ไม่ทัน คำเที่ยงที่ตอบรับเสียงใส

“ดีเจ้า”

มณีรินปั้นหน้าไม่ถูกส่งค้อนให้คำเที่ยง แล้วบัวเงินก็ปราดเข้ามาแสดงความยินดีกับมณีรินพลางเอื้อมมือไปจับมือมณีรินมากุม เจ้าศิริวัฒนาจึงต้องปล่อยมือออก

“ตอนที่เจ้านางน้อย ทูลเจ้าหลวงไปว่าขอให้ผ้าของพี่ได้ขึ้นห่มองค์พระธาตุ พี่น่ะซึ้งน้ำใจเจ้านางน้อยจนน้ำตาซึมทีเดียว แม่คุณของพี่...ช่างมีน้ำใจงดงามอะหยังอย่างอี้...งามทั้งกายและใจ๋แต๊ๆ” บัวเงินส่งยิ้มหวานตีบทแตกกระเจิง เจ้าศิริวัฒนายิ้มสบายใจที่เห็นสองเมียกลมเกลียวรักใคร่ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

คำเที่ยงจับจ้องความตอแหลของบัวเงิน แล้วหันมาสบตากับอีเม้ยที่ส่งยิ้มจอมปลอมให้

เมื่อกลับมาถึงเรือน คำเที่ยงก็เอ่ยเตือนมณีรินเรื่องบัวเงิน เพราะสัมผัสได้ถึงรังสีความอำมหิตที่แผ่ออกมา แต่มณีรินปราม ไว้ พลางบอกว่าให้ต่างคนต่างอยู่ คำเที่ยงขยับจะพูดต่อ

“เลิกอู้เรื่องนี้ได้แล้ว เฮาอยากพักผ่อนเต็มที...เฮาจะขึ้นข้างบนแล้ว” มณีรินตัดบท

“นังเด็กๆเตรียมน้ำอุ่นไว้เดี๋ยวนี้ เจ้ารินเปิ้นจะอาบน้ำ” คำเที่ยงสั่ง แล้วแยกออกไป

มณีรินก้าวขึ้นบันได แต่ความอ่อนเพลียอดตาหลับขับตานอนมาทั้งคืน ทำให้หน้ามืดจะเป็นลม ร่างของเธอโงนเงนพร้อมจะร่วงลงมา

“เจ้านางน้อย เจ้านางน้อย” เสียงเจ้าศิริวงศ์ร้องเรียกแล้วปราดเข้ามารับร่างของมณีรินไว้ได้ทัน

ooooooo

เรรินที่นั่งอยู่หน้ากี่รู้สึกเหมือนหน้ามืดจะเป็นลม เพราะใช้สายตาเพ่งทอผ้าในห้องที่มืดสลัวนานเกินไป

“อย่าฝืนเลยวันนี้คุณเหนื่อยมามากแล้วกลับไปพักผ่อน เถอะ เอาไว้วันหลังค่อยกลับมาทอใหม่” เจ้าศิริวัฒนาเข้ามาห้าม

“ฉันอยากรู้ว่า หม่อมบัวเงินทำร้ายฉัน...เอ้อ ทำร้ายเจ้านางมณีรินยังไงคะ”

“ยังมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นอีกมากมายแต่คุณใจเย็นๆเถอะคุณได้รู้แน่ ถึงเวลานั้นจริงๆคุณอาจจะไม่อยากให้อภัยคนที่ทำร้ายคุณเลยก็ได้” เจ้าศิริวัฒนาหันกลับเดินหายเข้าไปในภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นครั้งแรกที่เรรินได้เห็นเจ้าศิริวัฒนาหายไปกับตา เธอจำใจออกมาจากห้องทอผ้า อาศัยความมืดลัดเลาะพาตัวเองออกมาจากตึกแล้วมุ่งหน้าไปทางประตูออกด้านหลัง

สุริยวงศ์ที่ซ่อนตัวอยู่แน่ใจว่าเป็นเรรินออกมาจากห้องทอผ้าแน่ จึงเข้าไปดูข้างใน เขาไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรจึงลองเปิดผ้าขาวที่คลุมปิดผ้าที่ทอไว้ออกดูก็พบว่า ผ้าถูกทอเพิ่มขึ้น สุริยวงศ์ข้องใจ ไม่รู้ว่า เรรินทำไปเพื่ออะไร

เมื่อออกมาจากคุ้มได้แล้ว เรรินก็แวะทานอาหารที่ร้านข้างทาง และได้พบกับธนินทร์ที่สวมบทพระเอกผู้น่าสงสารเข้ามาขอคุยด้วย เรรินรีบลุกหนีเพราะไม่ไว้ใจ แต่ธนินทร์ก็ตื๊อไม่เลิก เขาขอไปส่งเธอที่รีสอร์ตเป็นครั้งสุดท้าย เพราะอยากให้จากกันด้วยความรู้สึกดีๆ

เรรินใจอ่อนยอมขึ้นรถไปกับธนินทร์ และไม่ทันเห็นว่ามีใครคนหนึ่งแอบตามเธอไปห่างๆ

ด้านธนินทร์เขาเริ่มร้องไห้ฟูมฟาย ตัดพ้อเรรินที่ไม่ยอมให้โอกาสเขาได้แก้ตัวอีกสักครั้ง

“คุณอย่าพยายามผูกมัดตัวเองด้วยคำสัญญาเลย เพราะคุณก็รู้ว่าคุณทำไม่ได้ตามที่จะสัญญา ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงคุณได้ เราอย่าฝืนความเป็นจริงกันอีกต่อไปเลยถึงยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เหรอคะ”

“นั่นสินะครับริน...ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้” ธนินทร์เช็ดน้ำตาทำเบิกบาน

เรรินโล่งใจคิดว่าธนินทร์คิดได้ แต่เธอคิดผิด เพราะธนินทร์กลับหลอกเธอมาที่โรงแรมม่านรูดและจะใช้กำลังข่มเหง เรรินตอบโต้ ทุบตีจิกข่วนป้องกันตัวเองสุดฤทธิ์ ธนินทร์ยิ่งเจ็บก็ยิ่งบ้าคลั่ง

แต่เรรินสบโอกาสจะวิ่งหนีออกมา แต่ธนินทร์คว้าคอกระชากทำให้สร้อยเงินที่คล้องพระป้องกันตัวหลุดขาดกระเด็น เรรินท่าทางจะเพลี่ยงพล้ำเป็นแน่แท้

พลัน...ประตูถูกถีบอย่างแรงหลายครั้งจนพัง ธนินทร์ชะงักเมื่อหันไปเห็นสุริยวงศ์พุ่งเข้าถีบ พลางไล่ให้เรรินหนีไป เมื่อตั้งหลักได้ก็ถลันเข้าจัดการสุริยวงศ์ แต่ก็โดนสวนชุดใหญ่ จนลงไปนอนกองเพราะสิ้นฤทธิ์

ooooooo

อ่านบทละคร รอยมาร ตอนที่ 4


เป็นความบังเอิญที่วันนี้สายทิพย์ไปเจอวิมาดาที่ห้างสรรพสินค้าในแผนกเสื้อผ้าสตรีที่ทั้งคู่ไปเลือกซื้ออยู่ พอเห็นสายทิพย์วิมาดาก็เดินเลี่ยงไป สายทิพย์เรียกไว้บอกว่าไม่ต้องกลัวตนไม่ด่าหรือตบเธอหรอก
วิมาดายังจะเดินเลี่ยงไป สายทิพย์บอกให้เธอเลือกซื้อที่นี่เสียตนจะไปร้านอื่นเองเพราะไม่อยากใส่เสื้อผ้าแบรนด์เดียวกับเมียน้อย วิมาดาโมโหพูดดูถูกธนูว่าตนไม่ได้พิศวาส อะไรเลย หวงนักก็จับมัดไว้ที่บ้านเสีย
ก่อนไปวิมาดายังเอาชุดที่ตัวเองเลือกไว้ซึ่งค่อนข้างเซ็กซี่โยนใส่สายทิพย์บอกให้หัดปรับปรุงตัวเองเสียบ้างแต่งหน้าตาให้เข้มจะได้ดูสดใสใส่เสื้อผ้าเซ็กซี่จะได้มัดใจสามี
วิมาดาไปแล้ว สายทิพย์คิดๆ แล้วตัดสินใจซื้อชุดที่วิมาดาโยนใส่เมื่อครู่นี้แต่พอธนูกลับมาคืนนี้ เขามองเธออย่างแปลกใจที่แต่ง หน้าเข้มถามว่าที่คณะมีงานหรือแต่งหน้าจัดจัง ครั้นเห็นชุดที่ใส่ก็มองอย่างแปลกใจ สายทิพย์ถามว่าแต่งแบบนี้สวยไหม
ธนูมองแล้วติงว่าโป๊ไปหน่อย เตือนให้ไปล้างหน้าล้างตาเสีย น้ำหอมที่ใส่ก็ฉุนไปเดี๋ยวลูกจะแพ้ เมื่อสายทิพย์ ตัดพ้ออย่างน้อยใจที่เขาหมางเมินต่อตนถามว่าไม่รักตนแล้วใช่ไหม พลางเข้าไปกอดไว้อ้อนๆ
ธนูผลักเธอออกถามว่าจะบ้ารึไง ไล่ให้ไปส่องกระจกดูตัวเองซิ ดูได้เสียที่ไหน พูดอย่างหงุดหงิดว่า “อย่าทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองหน่อยเลย ผมไม่ชอบ จำเอาไว้ ผมรักคุณอย่างที่คุณเป็น”
“แต่ฉันอยากให้คุณรักฉันเหมือนที่คุณรักวิมาดา” พูดแล้วร้องไห้ออกมา ธนูมองอย่างรำคาญแล้วผลุนผลันออกจากห้องไปเลย
ooooooo
คืนนี้ที่บ้านอัคราช ทุกคนพากันตกใจเมื่อสไบนางตีฆ้องร้องป่าวประกาศลั่นว่ามีข่าวดีจะมาบอกข่าวดีที่ว่าคือ เธอสอบติดศิลปากร แต่พอวิจิตรากับเมธาวีฟังแล้วก็พูดอย่างเย็นชาว่า สอบติดจะแปลกอะไรสอบไม่ติดสิถึงจะแปลก เสียเวลาจริงๆ
มีแต่คุณหญิงกับบังอรเท่านั้นที่แสดงความดีใจด้วย คุณหญิงบอกหลานสาวว่า
“ตั้งใจเรียนนะลูก เอาให้ได้เกียรตินิยมเหมือนพี่เมเขานะ”
สไบนางฟังแล้วเซ็งไปเลย
แต่เพราะคุณย่าอยากให้แน่ใจ วันนี้สไบนางจึงจะไปดูผลสอบให้เห็นกับตา เจออาทิตย์เข้าที่กลางซอย พอรู้ว่าจะไปดูผลสอบ เขาอาสาพาไปส่ง สไบนางถามประชดว่าจะมาหาเมธาวีไม่ใช่หรือ เขาบอกว่าไม่ได้นัดไว้แต่ไม่มีอะไรทำเลยแวะมา ทั้งยังบอกว่าถ้าสอบได้จริงจะเลี้ยงข้าวมื้อหนึ่ง สไบนางขอแถมของขวัญอีกชิ้นหนึ่งด้วย
ปรากฏว่าสอบได้จริงๆ สไบนางบอกให้ไปซื้อลาบ ส้มตำ น้ำตก เอาแบบเซ็ตใหญ่จะเอากลับไปกินฉลองที่บ้านกับคุณย่า ส่วนของขวัญเธอพาไปซื้อชุดนางรำชุดใหญ่เพื่อเอามารำในวันเกิดคุณย่า
พอกลับมาถึงบ้านก็พากันไปปูเสื่อนั่งพับเพียบกินลาบ ส้มตำ น้ำตกกันอย่างครึกครื้น เมธาวีมาดูเบ้หน้าบ่นว่าคุณย่านั่งกับพื้นนานๆเดี๋ยวก็ปวดขาอีก แต่คุณหญิงกลับยิ้มแย้มบอกว่าไม่เป็นไร นานๆที
เมธาวีฟังแล้วหงุดหงิดเดินออกจากบ้าน เจออุปมาขับรถเข้ามาพอดี อารมณ์เธอเปลี่ยนฉับพลันทั้งดีใจทั้งเขิน แต่รักษาฟอร์มทำเป็นยกโทรศัพท์มือถือขึ้นพูดติดพัน พออุปมาทักเธอก็ทำเป็นถามว่ามาหาคุณย่าหรือ แล้วทำท่าจะขึ้นไปบอกคุณย่า
อุปมารู้ทันส่งสายตาหวานคมกริบให้จนเมธาวีไม่กล้าสบตาทำเป็นรีบเดินขึ้นไป ลืมไปว่าตัวเองฟอร์มทำเป็นคุยโทรศัพท์อยู่ พออุปมาทักว่า “เพื่อนอยู่ในสายนะครับ” เธอก็ตกใจรีบยกขึ้นพูด ลนจนพูดซ้ำประโยคเดิมว่า “อยู่บ้าน... เดี๋ยวบ่ายๆจะออกไปข้างนอก”
อุปมายิ้มอย่างรู้ทันว่า ที่แท้เธอก็สนใจตนมากจนเขินได้ถึงขนาดนี้...แต่ยังทำฟอร์มอยู่เท่านั้น
เมื่อเมธาวีเข้าไปบอกคุณย่าว่าอุปมามาขอพบ สไบนางโพล่งไปทันทีว่าบอกให้เขากลับไปก่อนเถอะมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่คุณหญิงบอกเมธาวีให้ไปบอกอุปมาขึ้นไปรอที่ห้องรับแขกเล็กได้เลย
เมื่อเมธาวีไปบอกอุปมา เขาขอบคุณ เธอพยักหน้าให้สาวใช้พาไป อุปมาพูดขึ้นก่อนที่เธอจะเดินเลี่ยงไปว่าดูเหมือนเธอไม่ค่อยยินดีต้อนรับตนเท่าไหร่เลย เพราะไม่เห็นยิ้มสักนิด
พอหญิงสาวบอกว่าตนเป็นคนยิ้มยาก อุปมาจ้องตานิ่งบอกว่าจะทำให้เธอยิ้มให้ได้ เธอตัดบทว่าเดี๋ยวคุณย่ารอนาน ครั้นอุปมาฉวยโอกาสว่าคราวหน้าจะขอเป็นแขกเธอบ้างได้ไหม เมธาวีแทบทนกับสายตากรุ้มกริ่มของเขาไม่ได้ตัดบทว่า
“แขกคุณย่าก็เหมือนแขกของเราทุกคน ขอตัวนะคะ” พูดแล้วเดินเลี่ยงไป อุปมามองตามอย่างพอใจ
แต่ข้างหลังอุปมา ชันษาแอบดูอยู่ เขาจ้องมองอุปมาอย่างไม่พอใจด้วยความหึงหวงเมธาวี
ooooooo
ความเกลียดชัง ทำให้สไบนางตามมาราวีอุปมาถึงห้องรับแขกที่คุณหญิงนั่งคุยกับเขาอยู่ เธอมาแสดงความก้าวร้าว ยียวน เมื่อคุณหญิงให้สวัสดีอุปมา เธอก็ยื่นมือจะไปเช็กแฮนด์ พอถูกคุณหญิงดุก็ชักมือกลับอ้างว่า
“ยังกินไม่อิ่มเลยค่ะคุณย่า ติดไว้ก่อนนะ กินอิ่มแล้วเดี๋ยวล้างมือมาไหว้ใหม่”
ครั้นคุณหญิงถามว่าอุปมาทานอะไรมาหรือยังเรามีอาหารอีสานอยู่ทานเป็นรึเปล่า สไบนางก็ลอยหน้าพูดลอยๆ ว่าจะกินได้รึต้องใช้มือจกอาหารเข้าปาก แล้วทำท่าน่าเกลียดให้ดู
“เดี๋ยวเถอะนะบี เล่นไม่เลิกนะ คุณอุปมาเขาไม่คุ้นเคย กระดากตาย” คุณหญิงปราม
“เรากินกันอย่างเปิดเผยต้องกระดากอายทำไมคะคุณย่า” แล้วมองหน้าอุปมาพูดแขวะ “ดีกว่าแอบลักเขากินขโมยเขากินเป็นไหนๆ”
“เรามีความพอใจเป็นของตัวเอง เป็นสิทธิส่วนบุคคล คนอื่นที่ชอบก้าวก่ายเรื่องของเราเกินไป ควรเรียกว่าอะไรดี” อุปมาย้อนถามอย่างรู้ว่าถูกแขวะ
“สอด แส่ สาระแน หรือ...” พูดได้แค่นั้นก็ถูกคุณหญิงเรียกปราม อุปมาบอกว่าไม่เป็นไร  แต่คุณหญิงไม่ยอมตำหนิสไบนางว่าทำไมพูดจาก้าวร้าวพี่เขาขนาดนี้ เขาทำอะไรให้เรา
“บีไม่อยากเล่าให้คุณย่าฟังหรอกค่ะ บางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะเป็นโชคดีของครอบครัวฝนก็ได้ ถ้าผู้หญิงเลวๆคนนึงจะโดนผู้ชายที่เลวคู่ควรกันลากไปให้พ้นชีวิตพี่สาวฝนเสียที” สไบนางกระแทกเสียงใส่แล้วลุกขึ้นพูดลอยๆ “เย็นนี้ไม่ต้องเรียกนะคะ บีไม่ทานข้าว” พูดแล้วค้อนตาเขียวใส่อุปมาอีกทีก่อนไป
คุณหญิงพยักหน้าให้บังอรตามไป พอบังอรไปแล้วคุณหญิงขอโทษอุปมาแทนหลานสาว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเจอฤทธิ์เดชเขาจนชินแล้ว” พูดแล้วตัดบทบอกคุณหญิงว่า “ผมจะมาเรียนให้ทราบว่าพ่อผม กับลุงประมุขคงจะเดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมกัน”
ข่าวนี้ทำให้คุณหญิงแอบกังวลใจไม่น้อย
ooooooo
เมื่อบังอรมาคุยเรื่องการจัดเตรียมงานด้านอาหารวันแซยิดให้ฟัง คุณหญิงบอกว่าประมุขจะกลับมาพร้อมกับพ่อของอุปมาในวันนั้นด้วย บ่นว่า คราวนี้ประมุขไปนานเหลือเกินจนวิจิตรางุ่นง่าน...งุ่นง่าน
“พ่อคุณอุปมานี่สนิทกับคุณประมุขมากเหรอคะ บังอรไม่เคยเห็นคุณท่านพูดถึงเลย”
คำถามของบังอร ทำให้คุณหญิงนิ่งไปนานกว่าจะเล่าให้ฟังว่า
บารมีกับประจักษ์นั้นสนิทสนมกันเพราะชอบปลูกต้นไม้ทำไร่ทำสวนเหมือนกัน แต่ประมุขนั้นสำรวยสำอาง อีกทั้งเมื่อสอบเข้าเรียนนายร้อยได้ก็ยังดูถูกน้องชายอีก
“แล้วทำไมคุณบารมีถึงย้ายไปอยู่เมืองนอกเสียล่ะคะ” บังอรช่างสงสัย
“จะว่าเป็นคราวซวยก็ได้นะ เจ้านายพ่อมี ไปมีปัญหากับกลุ่มอิทธิพลเข้า พ่อมีก็เลยโดนร่างแหไปด้วย” คุณหญิงสีหน้าเครียดขึ้น ถอนใจยาวเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต
“คราวซวย” ที่คุณหญิงพูดถึงคือ เศรษฐีเทียนกับลูกชายคือบารมี  ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับพวกค้าอาวุธสงครามเจ้านายสั่งประมุขให้ไปจับให้ได้คาหนังคาเขาคืนนั้นเลย ประมุขรับคำ สั่งสีหน้าเครียดจัดแต่ก็ต้องไป
ประมุขนำกำลังไปตรวจค้นที่บ้านเศรษฐีเทียน เขาบอกบารมีว่า สายข่าวแจ้งว่าพ่อเขากับตัวเขาพัวพันกับพวกค้าอาวุธสงคราม ตนต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แล้วสั่งค้นให้ทั่ว
เศรษฐีเทียนกับแม่ของบารมีบอกให้เขารีบพาศรีอำไพน้องสาวหนีไปทางหลังบ้านก่อน บารมีพาน้องไปบอกพ่อกับแม่ว่าให้ระวังตัวด้วย เศรษฐีเทียนกับภรรยาเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความกังวล
ไม่นานประมุขก็แจ้งว่าค้นพบอาวุธสงครามร้ายแรงซ่อนอยู่ในตู้ แม้ว่าเศรษฐีเทียนและภรรยาจะชี้แจงอย่างไรก็ไร้ผล ประมุขบอกทั้งสองให้ไปให้การที่โรงพักดีกว่า
ประมุขกวาดตามอง ถามหาบารมีว่าหายไปไหน เศรษฐีเทียนไม่ตอบแต่ค่อยๆล้วงปืนที่เหน็บเอวออกมา
บารมีพาศรีอำไพหนีไปทางหลังบ้าน ครู่หนึ่งเขาได้ยินเสียงปืนปะทะกัน สองพี่น้องตกใจมาก บารมีรีบพาน้องหนีไปตามร่องสวน
ปรากฏว่าเศรษฐีเทียนกับภรรยาถูกยิงตายคาชานบ้าน จากนั้น ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งก็จุดไฟปาระเบิดเผาบ้านเศรษฐีเทียนไหม้เป็นจุล
“น่ากลัวจังเลยนะคะ แล้วสองพี่น้องหนีพ้นไหมคะคุณท่าน” บังอรถาม คุณหญิงถอนใจก่อนพยักหน้า
ooooooo
คุณหญิงเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า บารมีพาน้องที่หนีตายมาหาตนที่บ้าน ฝากน้องไว้กับตนซึ่งบารมีเรียกว่าคุณน้า และฝากขัตติยาคู่หมั้นของเขาด้วย เพราะเกรงจะถูกพวกมันมาจับตัวไป บอกว่าเขาจะหาทางติดต่อกับขัตติยาให้มาพึ่งบุญคุณน้าด้วยอีกคน
คุณหญิงรับปากด้วยความเต็มใจ บอกบารมีให้รีบหลบไปก่อน ตนจะช่วยดูแลทั้งน้องและคู่หมั้นของเขาให้ดีที่สุด เชื่อว่าไม่มีใครกล้าบุกรุกเข้ามาในที่ดินของตน
บารมีก้มกราบน้ำตานองหน้า คุณหญิงเองก็น้ำตาท่วมย่อตัวลงลูบหัวบารมีด้วยความสงสารจับใจ
“ผมไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นตายร้ายดียังไง ฝากคุณน้าตามข่าวแทนผมด้วย” บารมีเอ่ย
“เชื่อน้านะ พ่อแม่เราเป็นคนดี จะต้องปลอดภัย”
ทันใดนั้น ประจักษ์วิ่งเข้ามาบอกว่ามีตำรวจมาหน้าบ้าน บารมีถามว่าแล้วศรีอำไพล่ะ ประจักษ์บอกว่าตนพาไปซ่อนแล้ว ส่วนคุณหญิงก็เร่งให้บารมีรีบไปเสีย ตนจะถ่วงเวลาตำรวจไว้ที่นี่เอง
เมื่อบารมีหนีไปแล้ว คุณหญิงกับประจักษ์ก็จูงมือกันออกไปรับหน้าตำรวจต่างใจเต้นไม่เป็นส่ำ
คุณหญิงเล่าอีกว่า ไม่กี่วันต่อมาบารมีก็ย้อนกลับมา แต่ตนบอกให้หนีไปเพราะเรื่องยังแรงอยู่ คุณหญิงเดาใจบารมีเวลานั้นว่า “คงเพราะรู้ข่าวจากปากชาวบ้านว่า พ่อแม่ถูกยิงตายบ้านถูกไฟเผาวอดทั้งหลัง”
บังอรถามว่าตกลงเป็นฝีมือใครกันแน่ คุณหญิงเองก็ไม่รู้เพราะพูดกันไปต่างๆนานา ส่วนเรื่องเผาบ้านก็ว่าเป็นมือที่สาม เพราะประมุขกับทหารตำรวจวันนั้นก็แทบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน
ส่วนขัตติยานั้น คุณหญิงเล่าอย่างไม่เต็มเสียงว่า เธอรอบารมีแต่สุดท้ายก็แต่งงานไปกับคนอื่น พูดอย่างผ่านๆว่า “ไอ้ข้อนี้เราก็ว่ากันไม่ได้ จริงไหมแม่บังอร”
หลังจากนั้น บารมีก็ไม่ได้มาที่นี่อีก จนได้ข่าวว่าจะมาในงานวันเกิด ก็อดตื่นเต้นไม่ได้
“ฉันเสียใจอยู่เรื่องนึง รับฝากน้องสาวเขาเอาไว้ รับปากมั่นเหมาะว่าจะดูแลอย่างดีที่สุด สุดท้ายก็คืนน้องสาวให้พ่อมีไม่ได้ เหลือแต่หลานของเขาเท่านั้นแหละ ถ้าเขาขอรับคืนไปก็ไม่รู้ว่าฉันจะทำใจได้แค่ไหน” ยิ่งเล่าคุณหญิงก็ยิ่งเศร้า
แต่พอบังอรถามว่าหลานของบารมีคือใคร คุณหญิงก็ตัดบทว่า เหนื่อยแล้ว ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง บังอรจึงจัดที่และห่มผ้าให้คุณหญิงก่อนออกไป
แต่พอบังอรออกไปแล้ว คุณหญิงนอนลืมตาในความมืด หยุดความคิดที่เป็นเหมือนรอยมารในจิตใจตัวเองในอดีตไม่ได้
ooooooo
ธนูระแวงว่าวิมาดาจะมีคนอื่น  เขาสะกดรอยเธอไปจนเห็นเข้าไปในบริษัทบุญอนันต์อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต จึงรีบโทร.ให้เพื่อนเช็กว่าบริษัทนี้เป็นของใคร แล้วคอยอยู่ตรงนั้น จนเพื่อนแจ้งมาเขาถามว่า
“บารมี บุญอนันต์ รวยมากไหม หนุ่มหรือแก่ มีลูกมีเมียรึยัง” ฟังปลายสายแล้วบอกเพื่อน “เอาน่ะ มึงช่วยสืบต่อให้กูทีแล้วกัน”
ฝ่ายวิมาดาหิ้วอาหารมาฝากอุปมา จัดให้ทานแล้วฉอเลาะชวนไปดูหนังสนุกๆกันสักเรื่อง ชายหนุ่มตอบอย่างถนอมน้ำใจว่า เย็นนี้ตนมีนัดแล้วไว้วันหลังก็แล้วกัน
ครู่หนึ่งวิมาดาออกจากบริษัทมาขึ้นรถขับออกไป ธนูซุ่มดูตาไม่กะพริบ แต่หารู้ไม่ว่า ที่แท้เป็นอุบายของวิมาดาล่อให้เขาตามตนมาที่บริษัทนี้เพื่อแผนการบางอย่างที่จะดำเนินต่อไป
ooooooo
ฝ่ายสไบนางน้อยใจคุณย่าที่ดุตนต่อหน้าอุปมาพูดขู่ๆกับบังอรไว้ว่าสักวันจะหนีไปจากบ้านนี้ แล้วเธอก็ทำจริงๆด้วยการหลบไปอยู่บ้านหยาดฝน นั่งเล่นนอนเล่นแกล้งให้คนที่บ้านอัคราชตามหากันวุ่นวายไปหมด

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย บทประพันธ์ พัดชา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ผิน เกรียงไกรสกุล
  • 16 กันยายน 2554, 09:05 น.

อ่านบทละคร รอยมาร ตอนที่ 3


เรื่องราวเมื่อสามสิบปีก่อนกลับมาทำให้คุณหญิงสะเทือนใจอีกครั้ง
เวลานั้นบารมีในวัยหนุ่มรุกเร้าถามรุจาในกลางดึกคืนนั้นว่า พ่อแม่ตนเป็นอะไรตาย ใครยิงพ่อกับแม่ตน รุจาเวลานั้นได้แต่ตาแดงก่ำสีหน้าหวาดกลัว เร่งแต่ให้บารมีรีบหนีไปก่อน บารมีถามว่าแล้วศรีอำไพอยู่ไหน ตนอยากเจอหน้าน้องอีกสักครั้ง
“ไม่ต้องห่วงนะ น้าฝากเพื่อนดูแลให้อย่างดี พ่อมีรีบหลบไปก่อนเถอะ” รุจาเร่งเร้า บารมีบอกว่าตนจะหาทางมารับน้องทีหลัง ฝากน้องไว้ด้วย บอกก่อนวิ่งไปว่า “บอกขัตติยาให้รอข่าวจากผม ผมจะส่งข่าวถึงเขาเร็วๆนี้นะครับ”
คิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้ว คุณหญิงพึมพำด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ
“พ่อมี...น้าขอโทษ”
ooooooo
บ่ายวันนี้ เป็นวันสอบเสร็จของสไบนางและหยาดฝน สไบนางดีใจโล่งใจกระโดดตัวลอยส่งเสียงโหวกเหวกลั่นจนเพื่อนนักเรียนหันมอง หยาดฝนอายเตือนเพื่อนให้น้อยๆหน่อย ตนอายคนอื่นเขา
หยาดฝนถามว่าทำข้อสอบได้หมดหรือ สไบนางตอบอย่างแสนสบายใจว่า ได้มั่งไม่ได้มั่ง ส่วนมากมั่วแต่ช่างหัวมันเพราะคุณย่าบนให้แล้ว ทั้งยังพูดทะเล้นว่า
“ฉันอยากรู้นะระหว่างเจ้าพ่อเจ้าแม่กับคอมพิวเตอร์ใครจะแน่กว่ากัน”
หยาดฝนหน้าจ๋อย ปรารภว่าอยากเป็นบีจังเลย ทำอะไรได้ทุกอย่างตามใจชอบ แต่พอสไบนางชวนไปหาอะไรอร่อยๆ กินฉลองสอบเสร็จกัน หยาดฝนไปไม่ได้เพราะอยากไปหางานทำช่วยรายจ่ายในครอบครัว สไบนางเลยไปเป็นเพื่อน พูดขำๆว่าเผื่อโชคดีได้งานทำจะได้ไม่ต้องเรียนต่ออีกคน
ทั้งสองพากันไปรอรถเมล์ที่ป้าย แต่คนแน่นมาก รถผ่านไปหลายคันแล้วก็ยังเบียดขึ้นไม่ได้ แต่แล้วจู่ๆก็มีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดเทียบ คนขับลงจากรถมาทัก
“คุณไบ...คุณไบใช่ไหมครับ”
หัสดินนั่นเอง เขาจอดรถลงมาทัก พอสองสาวหันมาเขาแนะนำตัวเองไม่เคอะเขินว่า เป็นลูกชายลุงมี สไบนางเลยจำได้รีบยกมือไหว้ หัสดินถามว่าจะไปไหน จะไปส่ง ครั้นสไบนางปฏิเสธเขาขอร้องว่า
“ขึ้นมาเถอะครับ ถ้าพ่อรู้ว่าผมทิ้งเพื่อนพ่อไว้ข้างถนนไม่รับไปส่ง ผมโดนด่าตายแหงๆ”
“ก็ได้ กลัวคุณถูกด่าหรอกนะ ไปฝน...” สไบนางจูงน้ำฝนขึ้นนั่งด้านหลังรถ หัสดินมองยิ้มดีใจก่อนขับออกไป แต่พอถามว่าจะให้ไปส่งที่ไหน สไบนางบอกว่าขับไปเรื่อยๆ ลงที่ไหนเดี๋ยวบอกเอง
ครู่ใหญ่หัสดินเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่หน้าบริษัทของอุปมาบอกสองสาวให้รอเดี๋ยว พลางเอาซองเอกสารลงไปด้วย สไบนาง ชวนหยาดฝนลงไปหางานกันบ้าง เดินไปเจอบริษัท “บุญอนันต์ อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต” เข้าไปดูใกล้ๆ เห็นประกาศรับสมัครพนักงานพิมพ์ดีด สองสาวดีใจรีบเข้าไปก่อนที่บริษัทจะปิด
ooooooo
ในออฟฟิศ พนักงานเลิกงานกันแล้ว เหลือชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้ประตูกำลังถ่ายเอกสารง่วนอยู่ สไบนางเข้าไปเรียก พอเขาหันมาเธอบอกว่าจะมาสมัครงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีด
ชายหนุ่มคนนั้นมองแวบหนึ่งบอกอย่างตัดบทว่า 5 โมงเย็นบริษัทปิดแล้ว สไบนางหมั่นไส้คะนองปากย้อนถามว่าปิดแล้วพวกตนจะเข้ามาได้ยังไง แล้วถามเรื่องงานอีก อวดอ้างความสามารถว่าพิมพ์ดีดเก่งมากทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อยากทำงานที่นี่จริงๆ ขอแต่ให้ใบสมัครเพื่อนตนกรอกทิ้งไว้ไม่เสียเวลาอะไรหรอก
ชายหนุ่มคนนั้นก็ยังคงถ่ายเอกสารเฉยอยู่ สไบนางโมโหเลยด่าว่า เพราะบริษัทมีพนักงานแบบนี้ถึงได้แป้กเล็กๆ อยู่แค่นี้
ชายหนุ่มตบปิดเครื่องถ่ายเอกสารหันจ้องหน้าสไบนางพูดหน้าตาเฉยว่า
“เราได้พนักงานพิมพ์ดีดแล้ว เชิญออกไปได้แล้วครับ”
พูดแล้วถือเอกสารจะเดินกลับเข้าข้างใน สไบนางกระโดดขวางถามอย่างเอาเรื่องว่ารับพนักงานแล้วทำไมไม่เอาป้ายประกาศรับพนักงานออก ถามว่าเที่ยวปิดป้ายให้ความหวังคนอื่นแบบนี้สนุกนักรึไง

“เรารับพนักงานนอกจากจะดูที่ความสามารถแล้ว ยังดูที่วุฒิภาวะด้วย ยิ่งเป็นเด็กจบใหม่ เอาแต่ใจไร้มารยาทไม่มีสัมมาคารวะแบบนี้ เราไม่รับเข้าทำงานเด็ดขาด” พูดแล้วยังจิกด่าด้วยสายตาอีก

สไบนางโมโหมากด่ากลับคืนทั้งยังจะขอพบเจ้านายเขาด้วย พอดีเสียงหัสดินถามออกมาจากห้องน้ำว่า “มีอะไรเหรอมาร์ค” หยาดฝนดึงแขนเพื่อนบอกว่าเจ้านายเขามาแล้วรีบไปกันเถอะ ลากเพื่อนออกไป ก็พอดีหัสดินจัดเสื้อกางเกงออกจากห้องน้ำเห็นหลังสองสาวไวๆ

“พวกเด็กปากจัด ล็อกประตูด้วย เดี๋ยวเด็กผีนั่นจะย้อนมาอีก”

ที่แท้ชายหนุ่มคนนั้นคืออุปมาหรือมาร์คนั่นเอง หัสดินถามว่ารู้ไหมว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร พออุปมาบอกว่าไม่อยากรู้ หัสดินเฉลยว่า “เพื่อนพ่อแกไงล่ะ เด็กลูกชาวบ้านแถวสวนที่ซื้อเสื้อมาฝากพ่อแกวันนั้นไง”

หัสดินเล่าว่าเมื่อกี้เจอที่ป้ายรถเมล์เลยรับมาด้วย ทั้งยังเล่าขำๆว่า “ตอนนี้เด็กนั่นยังคิดว่า ฉันเป็นแกอยู่เลยนะ”

“ขอบพระคุณอย่างสูง อย่ามาข้องเกี่ยวกับฉันเลย คุมอารมณ์ไม่อยู่ได้เตะกระเด็นเข้าสักที” พูดพลางส่งเอกสารที่ถ่ายเสร็จให้หัสดิน

หัสดินชมว่าเด็กคนนั้นดูดีๆ ก็หน้าตาสวยดี พอดีเสียงกริ่งหน้าบริษัทดังขึ้น อุปมาลุกขึ้นบ่นๆ

“เพื่อนพ่อฉันย้อนกลับมาแน่ๆ ขอเตะเด็กสักวันเถอะวะ” พูดพลางเดินออกไปอย่างเอาเรื่อง

“ใจเย็นๆไอ้มาร์ค เด็กช้ำหมด คนนี้ฉันจองนะโว้ย” หัสดินตามไปติดๆ กระดี้กระด้าเต็มที่

แต่พอเปิดประตูออกไปกลายเป็นวิมาดา อุปมาหันหลังเดินกลับทันที หัสดินบอกเพื่อนให้ไปคุยเสียให้รู้เรื่องดีกว่าจะได้จบๆเสียที อุปมาจึงเปิดประตูให้วิมาดาเข้ามา เธออ้อนน้ำตาท่วมว่า

“วิอยากคุยกับมาร์ค ให้โอกาสวิได้อธิบายครั้งสุดท้ายได้ไหมคะ”

ooooooo

วิมาดาจ้างนักสืบ สืบจนรู้ว่าบริษัทของอุปมาอยู่ที่ไหน เธอจึงตามมาตื๊อ เมื่ออุปมาพาไปนั่งคุยกันที่ร้านอาหารบรรยากาศดี วิมาดาอ้อนวอนขอโอกาสตนอีกครั้ง พร้อมทั้งเล่าชีวิตทุกข์ทรมานที่จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด จนเจ้านายช่วยให้ไปเรียนต่อเมืองนอกได้ แต่ก็ต้องแลกกับความบริสุทธิ์ของตัวเอง

วิมาดาพรรณนาความรู้สึกที่มีต่ออุปมาว่าเป็นรักครั้งแรกของตน แต่ที่จำเป็นต้องปิดเรื่องกับธนูก็เพราะกลัวถูกเขารังเกียจ เธอคร่ำครวญจนมาถึงวันที่เขาจับได้ว่ามีสามีอยู่แล้ว

ฟังถึงตอนนี้ อุปมาพูดหน้าตายว่า “วิพูดมานานแล้ว คงคอแห้ง ดื่มน้ำซะหน่อยสิ” เห็นเธออึ้งมองอย่างเสียใจที่เขาเย็นชา อุปมาก็ขอตัว “ผมไปห้องน้ำก่อนนะ วิจะได้มีเวลาแต่งเรื่องต่อ”

อุปมาลุกเดินไปแล้ว วิมาดาเสียใจน้อยใจอย่างที่สุด น้ำตาไหลพราก พริบตาเดียวเธอก็ปาดน้ำตาทิ้ง จ้องจิกตามองอุปมาไปด้วยความไม่พอใจที่เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเล่า

วันนั้น ก่อนที่วิมาดาจะกลับ อุปมาบอกว่า เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก เธอทำเป็นยินยอมและขอเบอร์มือถือของเขาไว้ บีบน้ำตาถามว่า “ไม่รู้ว่าวิจะขอมากเกินไปรึเปล่า”

ฝ่ายธนู พอตกค่ำก็เตรียมออกจากบ้าน สายทิพย์พูดอย่างเจ็บปวดว่าจะไปกอดกันให้พอใจก็ไปเลย ตนไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ยื่นคำขาดให้เลือกว่าจะเอาผู้หญิงคนนั้นหรือเลือกตนกับลูก ธนูไม่เลือกอ้างว่า

“ผมรักคุณมากนะทิพย์ แต่ชีวิตผมก็อยู่ไม่ได้ถ้าขาดวิ”


ปล่อยให้สายทิพย์ร้องไห้โฮๆ แล้วธนูก็ไปหาวิมาดาที่คอนโดฯถูกวิมาดาแสดงความรังเกียจ เมื่อเข้าไปกอดทั้งยังไล่ให้กลับไปหาสายทิพย์เสีย ตนทนเป็นเมียเก็บของหัวหน้าอย่างนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอบอกเขาให้กลับไปเสียแล้วล็อกประตูห้องให้เรียบร้อยด้วย พูดแล้วสะบัดเข้าห้องนอนปิดประตูโครม!

ธนูยืนอย่างโดดเดี่ยว เพราะไม่ว่าหันไปหาใครก็ถูกไล่ ไม่มีใครต้องการเขาเลย...

ooooooo

ชันษาชวนสไบนางกับหยาดฝนไปเที่ยวพัทยากัน สไบนางอยากไปแต่ไม่กล้าไปขออนุญาตคุณย่าขอให้บังอรช่วยพูดให้ บังอรช่วยพูดจนคุณหญิงอนุญาตให้ไป โดยสไบนางรับปากจะทำอะไรให้คุณย่าชื่นใจในวันเกิดครบรอบ 60 ปีในเดือนหน้า ท่านอยากได้งานบรรยากาศไทยๆให้ลูกๆหลานๆช่วยกันจัดให้

จนถึงวันนัดไปเที่ยวพัทยา สไบนางหิ้วกระเป๋าลงมาอย่างตื่นเต้น พอได้ยินเสียงแตรรถก็นึกว่าชันษามาแล้ว แต่พอวิ่งไปรับกลับกลายเป็นอุปมาที่ลงจากรถสปอร์ตคันหรูยืนดูตัวบ้านอยู่อย่างพินิจพิจารณา

“แกมาทำไม” สไบนางอาละวาดทันที อุปมาเองก็ตกใจที่มาเจอตัวแสบนี้เข้าอีก ไม่ทันตั้งหลักก็ถูกสไบนางสาดน้ำทั้งกระป๋องใส่จนเปียกโชก สาดแล้ววิ่งหนี อุปมาไล่ตามแต่เจอบังอรเสียก่อน อุปมาจึงแนะนำตัวกับบังอรว่า “คุณบารมี บุญอนันต์ ให้ผมมาพบคุณหญิงรุจา อัคราช ครับ”

อุปมามีเสื้อสำรองไว้ในรถ เขาไปเปลี่ยนเสื้อแล้วขึ้นไปพบคุณหญิงที่ห้องรับแขก สไบนางด้อมๆมองๆใจคอไม่ดีเมื่อรู้ว่าเขาเป็นแขกของคุณย่า จนคุณหญิงเหลือบมาเห็นจึงเรียกเข้าไปในห้อง ถามว่าไปทำความผิดอะไรไว้ สไบนางตอบหน้าตาเฉยว่า “ไม่ทราบค่ะ”

คุณหญิงซักไซ้จนสไบนางยอมรับ คุณหญิงสั่งให้กราบขอโทษแขกของย่าเดี๋ยวนี้ สไบนางทำหูทวนลมจนคุณหญิงขู่ว่าถ้าไม่ทำจะไม่ให้ไปพัทยา ก็ถูกหลานสาวตัวแสบท้วงว่า คุณย่าอนุญาตแล้วอย่ากลับคำ

แต่เพราะกลัวจะไม่ได้ไปพัทยาจริงๆ สไบนางฝืนใจยกมือไหว้พรวดพูดห้วนๆ “ขอโทษ” จนคุณหญิงส่ายหน้าอย่างระอา แต่อุปมากลับรู้สึกขำ บอกว่าตนไม่ถือเพราะน้องยังเล็กโตขึ้นก็จะสงบขึ้นเอง

“ย่าก็หวังอย่างนั้นแหละ รอเจอวิจิตราภรรยาประมุขกับหนูเมก่อนสิ ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ”

“ครับคุณย่า” อุปมาตอบรับด้วยความยินดี เต็มใจ แต่สไบนางที่แอบฟังอยู่เบ้หน้าพึมพำ

“ชวนมันทำไม เสียดายข้าว เทให้หมากินยังมีประ– โยชน์กว่า”

ooooooo

เมื่อกลับมารอชันษาที่หน้าบ้านพร้อมบังอรและหยาดฝน เมธาวีขับรถกลับมาพอดี หยาดฝนอยากจะเข้าไปสวัสดีทั้งเพราะรักษามารยาทและเห่อความสวยสง่าดูดีไม่มีที่ติของเมธาวี

แต่ปรากฏว่าเมธาวีเดินมาถามบังอรว่าใครมาเห็นรถจอดอยู่ พอบังอรบอกว่าแขกคุณท่าน เมธาวีก็พยักหน้าแล้วเดินไปเลย ไม่แม้แต่จะมองสไบนางกับหยาดฝนที่ยืนอยู่ตรงนั้น หยาดฝนเลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ

เมธาวีขึ้นไปเจออุปมานั่งคุยอยู่กับคุณหญิง พอคุณหญิงแนะนำให้รู้จักกัน อุปมาบอกว่าเคยเจอกันแล้ว คุณหญิงจึงให้เมธาวีนั่งคุยกับอุปมาตนจะไปสั่งงานแม่ครัวเพราะเย็นนี้เชิญอุปมาจะทานข้าวด้วยกัน

แม้เมธาวีจะพอใจในความหล่อเข้มดูดีของอุปมาแต่เธอก็ถือตัวพูดคุยด้วยอย่างไว้ตัว แต่อุปมาเองกลับแสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความพึงใจพอใจในตัวเธอ กระทั่งเอ่ยปากขอมาที่นี่บ่อยๆและยังอยากเป็นเพื่อนสนิทของเธอเหมือนนายตำรวจคนนั้นด้วย

แม้เมธาวีมีทีท่าแต่ไม่เปิดทางให้ ครู่หนึ่งเธอขอตัวไปอาบน้ำ อุปมาหวานใส่ว่า

“เชิญครับ ผมจะรอคุณเมกลับออกมาอย่างใจจดจ่อนะครับ”

ที่หน้าบ้าน ขณะสไบนางรอชันษาอยู่นั้น อาทิตย์ขับรถเข้ามาพอดี ไหว้บังอรแล้วแกล้งทักสไบนาง

“สวัสดีครับคุณบู้บี้” พอสไบนางถามว่าใครชื่อบู้บี้ อาทิตย์พูดหน้าตาเฉยว่า “อ้าว...ก็ชื่อบุบบี้เป็นลิขสิทธิ์ของคุณย่า ผมก็ต้องตั้งใหม่ บู้บี้น่ารักดีออก เหมาะกับคุณด้วย” พูดแล้วอาทิตย์ก็ขำเสียเอง

พอดีชันษาเอารถตู้มา เร่งให้รีบขนของขึ้นรถ อาทิตย์รู้ว่าจะไปพัทยากันก็ทำเป็นพูดเปรยๆอยากไปด้วย ถูกสไบนางกันท่าว่านี่เป็นทริปของเด็กหนุ่มสาวไม่ต้อนรับคนแก่

แต่พอจะเดินทาง บังอรเตือนสไบนางให้ไปลาคุณย่าก่อน เธออ้างว่าไปไม่กี่วันเองไม่ต้องลาก็ได้ คุณหญิงเดินลงมาพอดี อาทิตย์ยกมือไหว้ คุณหญิงพูดกับอาทิตย์เหมือนฟ้องว่า

“ดูแม่บุบบี้ของเราสิ ทำความผิดโดนดุนิดหน่อยยังมาโกรธย่าอีก”

สไบนางบ่นว่า ก็คุณย่าอยากไปเข้าข้างคนอื่นทำไม พลางเหล่ไปทางอุปมาที่เดินตามคุณหญิงลงมาด้วย แล้วบอกอาทิตย์เบาๆว่า

“นายนั่นนิสัยไม่ดี อย่าไปพูดดีด้วย แล้วก็ระวังให้ดี มันจะจีบพี่เม”

ชันษาได้ยินเต็มสองหู เขายืนอึ้งด้วยความรู้สึกหึงหวงเมธาวีขึ้นมา จนสไบนางตะโกนเรียกจึงตามไป

ooooooo

ก่อนทานอาหาร คุณหญิงกับวิจิตราเลี่ยงไปคุยกันที่มุมบ้าน คุณหญิงต้องการแนะนำให้วิจิตรารู้จักเชื้อสายของอุปมาว่าเป็นเพื่อนของประมุข วิจิตราไม่รู้จักแต่ถามว่ารวยไหม พอรู้ว่ารวยก็พูดอย่างพอใจว่า ท่าทางเขาสนใจเมธาวีอยู่เหมือนกัน ชมลูกสาวว่า “ยัยเมนี่สวยเลือกได้จริงๆ”

“บางครั้งอาจจะโดนบังคับเลือกก็ได้นะจิตรา” คุณหญิงพูดด้วยสีหน้ากังวลกับความจริงบางอย่าง จนวิจิตรารู้สึกแปลกใจ

ที่โต๊ะอาหาร อุปมาพยายามเอาใจเมธาวีคอยตักอาหารให้ อาทิตย์ไม่ยอมน้อยหน้าตักโน่นตักนี่ให้เมธาวีบ้าง แต่พอเห็นเธอทานแต่ของที่อุปมาตักให้ก็รู้สึกน้อยใจ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

เมธาวีพูดคุยกับอุปมาจนรู้ว่าเขาจบด้านบริหารจากอเมริกา ครอบครัวมีธุรกิจเกี่ยวกับอิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ตคุณพ่อเลยอยากให้มาช่วยกิจการของท่าน
    


หลังจากทานอาหารเสร็จ เมธาวีเดินมาส่งอาทิตย์ที่รถชายหนุ่มตัดพ้อว่าดูเธอจะคุยกับอุปมามากกว่าตนเสียอีก เมธาวีแก้ตัวว่าเพิ่งรู้จักกันก็ต้องซักถามมากกว่าเป็นธรรมดา

อาทิตย์ตัดพ้อว่าเหมือนเธอไม่เห็นความสำคัญของตน เมธาวียักไหล่พูดอย่างเป็นตัวของตัวเองว่า

“เมเคยบอกอาทิตย์แล้วไงว่าเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่แฟนไม่ใช่คนรัก แล้วก็ไม่ได้เดทกันด้วย เมยังมีิสิทธิ์เลือก อาทิตย์...ถ้าคุณอยากได้ของดีมีราคาไว้เป็นเจ้าของก็ต้องพยายาม ไม่มีของดีที่ได้มาง่ายๆหรอกนะ คุณต้องลงทุนลงแรง อะไรที่ได้มาง่ายๆมักจะไม่มีค่า”

อาทิตย์พูดอย่างน้อยใจว่าเธออยู่ในสถานะที่มีสิทธิ์เลือก ตนเองก็ยังไม่ดีพอ เมธาวีได้ทีย้ำว่า

“อาทิตย์พูดเองนะ...เมส่งแค่นี้นะ” พูดแล้วหันหลังจะกลับเข้าข้างใน อาทิตย์พูดขึ้นจนเธอต้องหยุด เขาถามว่าเคยได้ยินคำโบราณนี้ไหมที่ว่าเลือกนักมักได้แร่ เมธาวียิ้มตอบอย่างมั่นใจว่า “มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับเมหรอกอาทิตย์ คนอย่างเมถ้าต้องได้แร่เมไม่เลือก” พูดแล้วเดินเชิดเข้าไปเลย อาทิตย์ได้แต่มองอย่างผิดหวัง...

เพราะรู้แก่ใจดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเมธาวี คุณหญิงจึงเรียกหลานสาวเข้าไปคุย ชมทั้งอาทิตย์และอุปมาว่าเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งหน้าที่การงาน การศึกษา ฐานะความเป็นอยู่ อยากให้หลานดูๆไปก่อน ศึกษากันไปก่อน สุดท้ายก็พูดเชิงขอหลานสาวว่า

“รับปากย่าได้ไหมว่าสุดท้ายแล้วเรื่องคู่ครองของเม ขอย่าได้มีส่วนช่วยเลือกให้” เมื่อเมธาวีรับปากเชื่อว่าคุณย่าต้องเฟ้นหาคนดีที่สุดให้ตนอยู่แล้ว คุณหญิงย้ำว่า “ขอบใจมากจ้ะ ย่าจะถือว่านี่เป็นคำสัญญาที่เมให้กับย่านะ”

ooooooo

อุปมากลับถึงบ้านไทยประยุกต์ พอรู้ว่าหัสดินจะไปพัทยาก็ขอตามไปด้วย เพราะไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว มันเหงา หัสดินบ่นงึมงำขำๆว่า “ตามประกบยิ่งกว่าเมียอีกโว้ย”

ปรากฏว่าคู่ปรับไปเจอกันที่พัทยา อุปมาถูกสไบนางแกล้งปาก้อนทรายใส่ขณะนอนคุยกับหัสดินที่เตียงชายหาด เลยลุกขึ้นไล่ตามไปเอาเรื่อง พอตามจับตัวได้สไบนางก็โวยวายว่าถูกลวนลาม หัสดินบอกเพื่อนว่าอย่ารังแกเด็กเลย สนุกกันพอแล้วชวนกลับกันดีกว่า

พออุปมาหันหลังเดินไป สไบนางก็เตะทรายใส่ เขาหันมองขวางๆยิ้มกวนๆก่อนไป

“คอยดูนะฝน แค้นครั้งนี้ฉันจะต้องเอาคืนให้สาสม”สไบ–นางโกรธจนหายใจหอบถี่ จะแก้แค้นให้ได้ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายไล่ปาก้อนทรายใส่หยาดฝนแล้วไปถูกเขาก่อนแท้ๆ

ooooooo

กลับถึงที่พักบ้านของชันษาในสภาพเนื้อตัวหัวหูมีแต่ทราย บังอรบอกให้ไปอาบน้ำก่อนจะได้มาทานอะไรกัน ชันษาบอกว่าอย่ากินมากเพราะมื้อค่ำจะพาไปเลี้ยงอาหารที่โรงแรม

ระหว่างอุปมาอยู่ที่พัทยานั้น วิมาดาโทร.หาเขาและขอตามมาเที่ยวด้วย ไม่นานเธอก็มาถึง อุปมานั่งทานอาหารกับเพื่อนๆอยู่ในร้าน พอเห็นวิมาดามาก็ขอตัวลุกไปหา

บังเอิญกมลฉัตรเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มรู้จักวิมาดาดี บอกเพื่อนๆว่าคนนี้เป็นเมียน้อยของสามีเพื่อนตนเอง แล้วบ่นสงสารเพื่อนที่เป็นอาจารย์จะไปเต้นเร่าๆก็เสียเกียรติ

เลยต้องหน้าชื่นอกตรมเพราะสามีตัวเองหลงเมียน้อย เพราะนอกจากลงทุนวิ่งเต้นให้ได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว ยังซื้อคอนโดฯให้กัน ไม่รู้ว่ารถคันนี้ด้วยหรือเปล่า

หัสดินนั่งฟังอยู่ด้วย ทำให้เขารู้จักวิมาดามากขึ้น

วิมาดาเดินคุยกับอุปมาไปตามชายหาด เธอออดอ้อนถึงความทุกข์ตรอมใจที่ต้องทนอยู่กับธนู เพราะเป็นลูกหนี้ที่ต้องจ่ายดอกให้เจ้าหนี้ทั้งที่ตัวเองไม่มีความรักความผูกพันเลย บอกอุปมาว่าถึงไม่ได้เจอเขาตนก็รักธนูไม่ได้อยู่ดี

บีบน้ำตาคร่ำครวญจนอุปมาใจอ่อน วิมาดาขอไปพักโรงแรมเดียวกับเขา อุปมาอึกอักแต่สุดท้ายก็ยอมโดยจะแนะนำแก่เพื่อนๆว่าเธอเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น

ชันษาพาสไบนางและหยาดฝนมาทานอาหารที่โรงแรม หยาดฝนเห็นวิมาดาอยู่หน้าลิฟต์ เธอชี้ให้เพื่อนดูว่าวิมาดาเป็นเมียน้อยของธนู สไบนางตาลุกแค้นแทนเพื่อนจะตามไปถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานให้สายทิพย์เอาไปฟ้องหย่า ใครห้ามก็ไม่ฟัง ชันษาเลยบอกว่าตนจะรออยู่ข้างล่างถ้ามีอะไรให้โทร.เรียกก็แล้วกัน

วิมาดาไปเคาะประตูห้องอุปมาพอเขาเปิดประตูเธอจะเบียดเข้าไป แต่เขาบอกว่ากำลังจะลงข้างล่างพอดี พูดเอาใจว่าไปทานข้าวกันดีกว่านะ
ระหว่างนั้น วิมาดาก็ยังคงคร่ำครวญถึงความทุกข์ทรมาน ใจของตนที่ต้องทนอยู่กับธนู จนอุปมาสงสาร เธอรุกอ้อนวอนขออย่าผลักไสตนอีกเลย จ้องหน้าอุปมาพูดร้องไห้สะอึกสะอื้น

“เมื่อคุณไม่รักไม่ต้องการวิแล้ว วิก็อยู่ของวิได้ ไม่ถึงกับตายหรอกถ้าขาดคุณไปจากชีวิต”

อุปมาสงสารดึงเธอเข้าไปกอด สไบนางกดโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปไว้ทันที อุปมารู้ตัวหันขวับตรงดิ่งมาหาสไบนางขอโทรศัพท์เครื่องนั้น สไบนางไม่ให้จะวิ่งหนี ถูกอุปมากระชากแขนไว้จนโทรศัพท์หล่น เธอเตะทิ้ง อุปมาถลาจะไปเก็บ สไบนางเข้าแย่งเขาเลยตัดสินใจกระทืบโทรศัพท์ทิ้ง
วิมาดารีบเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หยาดฝนเห็นเรื่องลุกลามใหญ่โตจึงรีบโทร.เรียกชันษา เขาขึ้นมาขวางการยื้อยุดกัน ยกมือไหว้ขอโทษอุปมาแล้วลากสไบนางไป

วิมาดาโผเข้ากอดอุปมาน้ำตาไหลพรากขอบคุณที่ช่วยตนไว้ หยาดฝนมองภาพนั้นอย่างเจ็บปวดแล้วรีบเดินตามชันษากับสไบนางไป ส่วนวิมาดาที่บีบน้ำตากับอุปมาอยู่ แอบมองตามหยาดฝนไปอย่างสะใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

ooooooo

อาทิตย์ไปราชการต่างจังหวัดกลับมาจึงซื้อน้อยหน่ามาฝากคุณหญิง เขาถามถึงสไบนาง คุณหญิงบอกว่าไปพัทยาวันนี้ก็กลับแล้ว คุณหญิงเตือนอาทิตย์ว่างานแซยิดอย่าลืมมา ให้มามือเปล่าไม่ต้องหิ้วอะไรมา

คุณหญิงยังเล่าว่าวันนั้นพ่อของเมธาวีก็จะกลับมาด้วยจะได้เจอหน้ากับอาทิตย์เสียที บ่นว่า พ่อของเมธาวีไปดูงานต่างประเทศนานเสียจนตนเกือบลืมไปว่ามีลูกชายคนนี้อีกคน

“ผมทราบว่าเมยังมีคุณอาอีกคน แต่ท่านเสียไปแล้ว” อาทิตย์เอ่ยขึ้น

คุณหญิงจึงเล่าอดีตเมื่อ 10 กว่าปีก่อนให้ฟังว่า หลังจากประจักษ์น้องชายของประมุขเสียศรีอำไพไปแล้วก็ทำใจไม่ได้จนต้องหนีไปทำไร่ทำนาโดยพาสไบนางในวัย 3-4 ขวบไปด้วย แต่เพราะสุขภาพที่ไม่ดีเป็นพื้นอยู่แล้วกอปรกับทำงานหนักทำให้เขาป่วยจนเสียชีวิต ตนจึงรับสไบนางมาเลี้ยงทั้งรักและสงสารหลานที่กำพร้าทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่เด็ก

“แล้วแม่คุณบีเสียเพราะอะไรครับ” อาทิตย์ถามถึงการตายของศรีอำไพ ทำให้คุณหญิงถึงกับหน้าเสีย พอดีพวกสไบนางกลับมาถึงจึงตัดบทว่า ไว้ค่อยคุยกันต่ออาทิตย์หน้าแล้วลุกเลี่ยงไปเลย

คุณหญิงออกมาดูหลานสาว เห็นสไบนางลงจากรถมาบิดขี้เกียจก็บ่นว่าเป็นสาวเป็นนางทำน่าเกลียด แต่พอสไบนาง เห็นอาทิตย์เดินตามออกมาก็เบ้หน้าว่าเจออีกแล้ว คุณหญิงปรามว่าอาทิตย์เอาน้อยหน่ามาฝากพูดแบบนี้ไม่ต้องกินเลย

“เค้าก็ไม่ได้กะเอามาฝากบีอยู่แล้ว มันของโปรดพี่เม” สไบนางลอยหน้าใส่ ชันษาฟังแล้วหน้าจ๋อยที่อาทิตย์ทำคะแนนไม่หยุด

ชันษาคิดหาทางทำคะแนนกับเมธาวีบ้าง วันนี้จึงซื้อข้าวหลามหนองมนกับปลาหมึกกรอบมาฝาก แต่ไม่ให้ที่บ้าน เขามาดักรอกลางซอยเข้าบ้าน จนเมธาวีขับรถกลับมา เขารีบออกไปขวางแล้วเอาของฝากให้
เมธาวีขอบใจบอกให้วางไว้ที่เบาะ ชันษาบรรจงวางให้อย่างดี แต่แล้วเขาก็ต้องเอากลับคืนไปทั้งหมด เมื่อเมธาวีบอกว่าตนไม่กินข้าวหลามที่ทำให้อ้วนและไม่กินปลาหมึกที่ทำให้ปากเหม็น
ชันษาบอกเมธาวีว่าอาทิตย์เอาน้อยหน่ามาฝากอยู่ที่บ้าน เมธาวีบ่นอย่างหงุดหงิดแล้วไม่เข้าบ้านกลับรถไปเดินห้างแทนเพราะขี้เกียจไปนั่งคุยด้วย
ooooooo
ฝ่ายอาทิตย์นั่งคุยกับคุณหญิงรอเมธาวีกลับ โดยสไบนางเอนหนุนตักย่าสบายๆ ถูกอาทิตย์แหย่ก็ศอกกลับอย่างเจ็บแสบจนถูกคุณย่าปราม ครู่ใหญ่ อาทิตย์บอกคุณย่าไปพักผ่อนเสียตนคอยเมธาวีเองก็ได้ แต่คุณย่าเกรงหลานสาวจะน้อยใจว่าไม่มีใครรอจึงนั่งรอด้วยกัน
ไม่นานสไบนางก็หลับปุ๋ยไปกับตักย่า อาทิตย์ถามว่าไม่ปลุกไปอาบน้ำก่อนหรือ
“ให้หลับไปก่อนเถอะ เป็นเมไม่ได้หรอกนะ คนนั้นเขาพิถีพิถันเนี้ยบทุกอย่างไม่มีทางได้เห็นมาหลับมานอนอย่างนี้หรอก” คุณหญิงลูบผมหลานสาวที่นอนหนุนตักอย่างเอ็นดูบอกว่านิสัยเหมือนพ่อ คบได้ตั้งแต่เศรษฐียันยาจกสรุปว่า “นิสัยอย่างบีก็มีทั้งคนรักและคนที่หมั่นไส้”
“หมั่นไส้น่าจะเยอะกว่านะครับ” อาทิตย์พูดขำๆ
“ถึงบีจะเป็นเด็กหัวดื้อ แต่ในความดื้อรั้นก็ซ่อนความฉลาดและเหตุผลดีๆที่หลายคนมองข้ามเอาไว้เยอะนะ” พูดแล้วเงยหน้ามองอาทิตย์ตั้งใจบอกว่า “ย่ารักหลานสาวคนนี้มากเหลือเกินนะ อาทิตย์”
อาทิตย์ยิ้มอย่างรับทราบ เขามองสไบนางที่หลับสนิทบนตักย่าด้วยสายตาเอ็นดู...
ooooooo

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย บทประพันธ์ พัดชา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ผิน เกรียงไกรสกุล
  • 14 กันยายน 2554, 08:46 น.

Sunday, September 11, 2011

อ่านบทละคร รอยมาร ตอนที่ 2

 
วันรุ่งขึ้น สไบนางขโมยเรือที่ผูกอยู่ที่ท่าไปพายเล่น เพราะพายไม่เป็นเรือเลยทั้งขวางทั้งช้าแต่เธอก็พายๆ งัดๆ ไม่ยอมเลิกขำพ่อของระเบียบที่ดูแลเรืออยู่กลับมาบอกยายจันทร์ว่าเรือหายไปสงสัยสไบนางแอบพายเรือไปแน่ สมปองแม่ของระเบียบเห็นยายจันทร์ทำท่าจะเป็นลมบอกให้นั่งพักก่อน

“คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองคุณบีด้วยเถอะ อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยคุณแม่เธอเลย” แล้วยายจันทร์ก็เล่าถึงอดีตตอนนั้นให้สมปองกับขำฟังว่า

ค่ำวันหนึ่ง ลูกน้องของประมุขช่วยกันงมร่างศรีอำไพขึ้นจากน้ำ ประจักษ์พ่อของสไบนางร้องไห้โฮๆ เข้าไปกอดศพภรรยา ครู่หนึ่งก็หันขวับจ้องหน้าประมุขราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พูดอย่างแค้นใจว่า

“พี่มุขฆ่าเมียผม พี่หาทางฆ่าเขาจนได้ ไอ้ฆาตกร มึงฆ่า กูอีกคนสิวะ ฆ่าปิดปากกูอีกคนเลยสิ มึงเลวยิ่งกว่าสัตว์”
ประมุขกระชากแขนน้องชายผลักจนล้มลงไปกับพื้น ตะคอก

“มึงสงบสติอารมณ์ซะไอ้จักษ์ แล้วเตรียมจัดงานศพให้เรียบร้อย” พูดแล้วเดินออกไป

“ไพของพี่...ในที่สุดไพก็ต้องตายเพราะมัน...ไพ...” ประจักษ์ร้องไห้ฟูมฟายกับศพของศรีอำไพตัวสั่นสะท้าน

ยายจันทร์เล่าไปก็น้ำตาคลอไปจนสมปองถามว่ายายเห็นเหตุการณ์ด้วยหรือ ยายจันทร์เช็ดน้ำตาบอกว่า “เปล่าหรอก เขาพูดๆกันมา”

สมปองถอนใจยาว ส่วนขำจะไปตามสไบนางเชื่อว่าเธอพายเรือไม่เก่งคงไปได้ไม่ไกล

ooooooo


สไบนางพายเรือขวางๆวนๆ แต่ก็พายไปจนถึงหน้าบ้านไทยประยุกต์จนได้ เธอมองตัวบ้านอุทานอย่างตื่นเต้น “โอ้แม่เจ้า บ้านหรือวังกันแน่เนี่ย” พลางชะเง้อมองเข้าไป

ที่หน้าบ้าน อุปมาแต่งตัวจะไปทำงาน บารมีในชุดกางเกงสีกรมท่าขาก๊วยเก่าๆ ใส่เสื้อกุยเฮงสีดำมือถือหมวกสานเก่าๆ ขาดๆ ยืนคุยอยู่กับอุปมา บอกว่าตนจะกลับพรุ่งนี้เลยอยากไปปิดบัญชีเสียให้เรียบร้อย พูดแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

สไบนางมัวแต่ชะเง้อมองสองพ่อลูก ถูกคลื่นเรือหางยาวที่แล่นฉิวผ่านมาเรือโคลงแล้วก็ล่มในที่สุด ดีว่าสไบนางว่ายน้ำแข็ง เลยเอาตัวรอดได้ แต่ก็ร้องโหวกเหวกโวยวายเสียลั่นคลอง

สไบนางว่ายน้ำมาเกาะขอบท่าน้ำบ้านไทยประยุกต์ บารมีรีบมาดูส่งมือช่วยดึงเธอขึ้นจากน้ำ เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวขึ้นมาอย่างประหลาด ยิ่งเมื่อได้พูดคุยเห็นความร่าเริงปนทะเล้นของเธอก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู ชวนเข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเพราะเห็นเธอทำท่าหนาวสั่น

ทีแรกสไบนางเห็นการแต่งตัวของบารมีนึกว่าเขาเป็นคนงานที่นี่ แต่พอบารมีร้องเรียกแรมสาวใช้ให้มาหาเสื้อผ้าให้สไบนางเปลี่ยน ได้ยินแรมเรียกบารมีว่า “คุณท่าน” สไบนางมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

แรมเอาเสื้อของอุปมาให้ใส่และเอากางเกงของบารมีให้เปลี่ยน เมื่อลงมาบารมีแนะนำตัวเองว่าให้เธอเรียกตนว่าลุงมี ส่วนสไบนางบอกให้เรียกตนว่าไบก็แล้วกัน

หลังจากนั้นก็พาไปทานอาหารเช้า สไบนางเห็นอาหารแล้วอุทาน “อาหารฝรั่งซะด้วย” เปรยๆว่าถ้ามีน้ำมะเขือเทศด้วยล่ะก็แจ่มไปเลย บารมีจึงให้แรมไปเอาน้ำมะเขือเทศมาให้

“ลุงมีใจดีจังเลย” สไบนางชมไปทานอาหารไป

บารมีถามว่าบ้านอยู่สวนไหนยังไม่ได้บอกลุงเลย สไบนางตัดบทว่าบอกไปลุงก็ไม่รู้จักหรอกจนบารมีบอกว่าขอให้รู้หน่อยเผื่อเหงาๆจะได้เดินไปเที่ยว

“สวนคุณย่ารุจาค่ะ”

บารมีอึ้งสนิท เงียบงันหน้าเครียดไปทันที ส่วนสไบนางยังคุยจ้อว่า

“ลุงหาไม่ยากหรอก ชวนลูกชายลุงไปด้วยก็ได้ หนูจะได้เลี้ยงข้าวลุงบ้าง” แล้วก็ชมเปาะ “ไส้กรอก แฮม บ้านลุงนี่อร่อยจังเลย”

บารมียังนั่งอึ้งอยู่ เขามองสไบนางไม่วางตา ลำคอตีบตื้อจนทานอะไรไม่ลง

ooooooo
PAN134 ชุดนอนซีทรู สีดำ สายผูกคอ ตรงอกเป็นลูกไม้ ติดโบว์น่ารัก PAN135 ชุดนอนเซ็กซี่ สีดำ ตรงอกสีขาว สายไขว้ 2 เส้นและร้อยสลับ เซ็กซี่ พร้อม จีสตริงเปิเป้า สายรัดถุงน่อง และ จีสตริงเซ็กซี่  PAN132 ชุดนอนน่ารัก ชุดนอนวาบหวิวเซ็กซี่ สีขาว เปิดหน้า พร้อม จีสตริงน่ารัก

เมื่อกลับมาถึงบ้านสวน ยายจันทร์ตัดพ้อน่าสงสารว่าทำยายหัวใจเกือบวายตาย สไบนางคุยโวว่าตนพายไปใกล้ๆแค่นี้เอง ตนว่ายน้ำแข็งเสียอย่างจะกลัวอะไร

“คุณแม่คุณบีก็ว่ายน้ำแข็งยัง...” ยายจันทร์หยุดกึกแล้วขอโทษสไบนาง เธอยิ้มปลอบใจว่า รู้ว่ายายเป็นห่วงต่อไปจะไม่พายเรือ...บ่อยๆก็แล้วกัน ความขี้เล่นของสไบนางทำเอายายจันทร์ยิ้มออกมา

ไม่ทันไรก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณย่า เธอฉอเลาะตามเคย บอกย่าว่าไม่ต้องส่งคนมารับเพราะตนนัดหยาดฝนไว้รับรองไม่เกิน 5 โมงเย็นกลับไปนวดขาให้คุณย่าถึงเตียงได้แน่นอน

หยาดฝนกำลังจะออกจากบ้านไปพบสไบนาง ขณะเดินผ่านหน้าห้องสายทิพย์ผู้พี่สาวก็ต้องหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงหยาดทิพย์ทะเลาะกับธนูสามีเสียงดัง

ฟังทั้งสองทะเลาะกันแล้ว หยาดฝนจับความได้ว่า สายทิพย์ต่อว่าธนูที่แอบมีความสัมพันธ์ลึกกับวิมาดา ธนูไม่ยอมรับซ้ำยังปรามสายทิพย์ว่าให้เกียรติสามีตัวเองบ้าง และตัวสายทิพย์เองก็เป็นครูบาอาจารย์ควรระงับปากระงับคำระวังอารมณ์ให้มากกว่านี้

ทั้งสองทะเลาะกันรุนแรง จนสุดท้ายธนูหาทางจบด้วยการตะโกนใส่หน้าว่า

“โอ๊ยเบื่อๆๆเบื่อจริงโว้ย บอกแล้วว่าไม่มีอะไรกัน ไม่มีอะไรกันเชื่อบ้างสิ”

พอดีโทรศัพท์มือถือของหยาดฝนดังขึ้น ธนูกับสายทิพย์ได้ยินหยุดมองหน้ากัน หยาดฝนรีบกดตัดสายแล้วเดินหนีไปอย่างเร็ว

ooooooo

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย บทประพันธ์ พัดชา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ผิน เกรียงไกรสกุล
  • 12 กันยายน 2554, 09:27 น.

อ่านบทละคร รอยมาร ตอนที่ 1


เช้านี้ ที่หน้าบ้านไทยประยุกต์ บรรยากาศครึกครื้นรื่นเริงด้วยขบวนขันหมากที่มีดนตรีบรรเลงมีผู้เฒ่าผู้แก่และเด็กลอยหน้ารำกันเฉิบๆ อยู่หน้าขบวน
เป็นขบวนขันหมากของอุปมาหรือมาร์ค หนุ่มลูกครึ่งพ่อไทยคือบารมี และแม่อเมริกันอาหรับคือซาร่า เพื่อไปสู่ขอเมธาวีหรือเม ลูกสาวของประมุขกับวิจิตรา ที่บ้านของคุณหญิงรุจา อัคราช ผู้เป็นย่า
บรรยากาศครึกครื้นกลายเป็นตึงเครียดทันที เมื่ออุปมาในชุดเจ้าบ่าวควงแขนซาร่าเดินลงบันไดมา ถูกวิมาดาที่เป็นคนรักเก่า นั่งรถคันหรูเข้ามาทวงถามความรักที่เคยมีต่อกันด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“มาร์ค ทำกับวิแบบนี้ได้ยังไง มาร์คไม่รักวิแล้วเหรอคะ” วิมาดาโผเข้ากอดอุปมาร้องไห้โฮๆ
ooooooo
ส่วนที่บ้านคุณหญิงรุจา บังอรคนสนิทของคุณหญิง ไปเคาะประตูเรียก บีหรือสไบนาง หลานสาวคนเล็กของตระกูลอัคราช ลูกสาวของประจักษ์กับศรีอำไพซึ่งเสียชีวิตแล้วทั้งคู่ สไบนางจึงอยู่ในความดูแลของคุณย่าตลอดมา
บังอรเคาะประตูปลุกสไบนาง เร่งให้รีบแต่งตัวเพราะขบวนขันหมากจะมาถึงแล้ว สไบนางลุกพรวดร้องบอกว่า
“ตื่นแล้วค่ะคุณบังอร บีอาบน้ำก่อนนะคะ” เธอกระโดดแผล็วจากเตียงวิ่งตึงตังไปเข้าห้องน้ำ
ส่วนที่ห้องเมธาวี ยังปิดประตูเงียบ จนช่างแต่งหน้าแต่งผมต้องไปตามวิจิตรามาเพราะเกรงจะแต่งหน้าแต่งผมไม่ทัน วิจิตราเอากุญแจไขห้องเข้าไปอย่างเร็วแล้วก็ต้องแจ้นไปบอกประมุขกับคุณหญิงว่าไม่รู้ว่าเมธาวีหายไปไหนแล้ว
“รึว่ายัยเมจะรู้ความจริงว่าต้องแต่งงานเพราะอะไร” คุณหญิงมองหน้าประมุขอย่างหนักใจ
“งานล้มไม่ได้เด็ดขาดนะคะคุณแม่ เสียหน้าตายเลย แขกผู้ใหญ่ทั้งนั้น นี่นักข่าวก็มารอทำข่าวอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมดแล้ว เราจะทำยังไงกันดีคะ” วิจิตราโพล่งขึ้น
“ไม่มีเจ้าสาวแล้วจะให้พ่ออุปมาแต่งงานกับใครล่ะจิตรา” คุณหญิงเสียงขุ่น
“ถ้าเราเปลี่ยนตัวเจ้าสาวตอนนี้ก็ยังทันนะครับคุณแม่” ประมุขเสนอหน้าขรึม วิจิตรากับคุณหญิงหันมองเขาขวับ
ระหว่างที่บ้านไทยประยุกต์กำลังวุ่นๆ นั่นเอง บารมีก็ได้รับโทรศัพท์จากประมุข บอกให้หยุดขบวนขันหมากไว้ก่อนแล้วให้รีบมาที่บ้านตนเดี๋ยวนี้เลย
“มีเรื่องอะไร” บารมีถาม เหลือบมองไปทางอุปมาที่กำลังโต้เถียงกับวิมาดาอยู่อย่างหนักใจ
ooooooo
ที่บ้านอัคราช เวลาผ่านไป แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายเริ่มทะยอยกันมาแล้ว ทั้งคุณหญิงที่บินตรงจากอังกฤษเพื่อมาร่วมงานนี้โดยเฉพาะ และหม่อมเกศ หญิงฉัตร วิจิตราต้อนรับแขกอย่างยิ้มแย้มยินดี แต่พอแขกถามว่ารดน้ำไปแล้วหรือยัง วิจิตราก็ยิ้มแหยๆบอกว่า
“ยังเลยค่ะ ฤกษ์คลาดเคลื่อนนิดหน่อยน่ะค่ะ น่าจะอีกสักครึ่งชั่วโมงนะคะ”
ขณะที่วิจิตราต้อนรับแขกรับหน้าสถานการณ์อยู่นั้น ที่ห้องทำงานของคุณหญิงรุจา ทั้งคุณหญิง ประมุข และบารมีกำลังคุยกันอย่างตึงเครียด
บารมีไม่เห็นด้วยที่จะเอาบีมาเกี่ยวข้องด้วย เธอไม่ควรเสียหายเพราะเรื่องนี้ แต่ประมุขยืนกรานว่าบีนั้นคืออัคราชคนหนึ่งก็ต้องร่วมชดใช้ด้วย ถูกบารมีตำหนิว่าพูดเห็นแก่ได้ ประมุขตัดบทเอาดื้อๆว่า
“ถ้าแกไม่ยอมรับบีเป็นเจ้าสาว หนี้สินทั้งหมดก็ถือว่าหายกัน”
คุณหญิงรุจาแทรกขึ้นอย่างหนักใจว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน ให้ช่วยกันคิดหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ก่อนจะดีกว่า
“ผมก็หาทางออกให้อยู่นี่ไงครับคุณแม่” ประมุขโต้แล้วหันไปทางบารมี “ลูกชายแกก็ไม่ได้รักอะไรยัยเมอยู่แล้ว ยอมแต่งเพื่อความสาแก่ใจของแกเท่านั้น จะเปลี่ยนเจ้าสาวเป็นอัคราชคนไหนก็มีค่าเท่ากัน”
บารมีสบตาคุณหญิงรุจา ถูกประมุขเร่งรัดว่า “จะเอายังไงก็รีบตัดสินใจ แขกเหรื่อมากันเต็มบ้านแล้ว ผมไม่อยากขายขี้หน้าเอาตอนแก่” คุณหญิงติงว่า ไม่ว่างานล่มหรือเปลี่ยนตัวเจ้าสาวมันก็ขายขี้หน้าไม่ต่างกัน ประมุขเถียงทันทีว่า “ต่างสิครับคุณแม่ ถ้างานแต่งล่มเพราะแกไม่รับยัยบีเป็นเจ้าสาวมันก็เท่ากับว่าแกปฏิเสธการใช้หนี้ ยอมยกหนี้สินทั้งหมดให้ฉันเอง”
บารมีจ้องหน้าประมุขอย่างชิงชัง บอกแทนคำตอบว่า
“ขบวนขันหมากจะมาถึงหน้าบ้านแกภายใน 15 นาที”
ooooooo
คุณหญิงรุจากับประมุขไปคุยกับสไบนางที่ห้องนอน เธอกอดคุณย่าร้องไห้ไม่ยอมแต่งงานกับอุปมา บอกคุณย่าอย่างมีอารมณ์ว่า “บีเกลียดไอ้มาร์ค เกลียดมันค่ะคุณย่า”
คุณหญิงกอดหลานสาวไว้ด้วยความสงสาร สไบนางมองหน้าประมุขผู้เป็นลุง ตัดพ้ออย่างน้อยใจว่า
“บียังมีความฝันอีกเยอะแยะ มันไม่ใช่เวลาแต่งงานของบี นี่คุณลุงรักหน้าตัวเองมากขนาดยอมแลกกับอนาคตของบีเลยเหรอคะ”
“นี่ไม่ใช่แค่การแต่งงานธรรมดานะบี แต่มันคือการล้างหนี้ให้กับตระกูลของเรา” ประมุขหว่านล้อมเมื่อสไบนาง หันมองหน้าย่า ประมุขตอกย้ำว่า “ถ้าบีไม่ยอมแต่งงานแทนพี่เม เราจะล้มละลาย บ้านก็จะไม่มีให้ซุกหัวนอน คุณย่าก็จะต้องลำบากไปด้วยนะลูก”
สไบนางมองหน้าย่า คุณหญิงพานจะน้ำตาไหลเลยเบือนหน้าไปทางอื่นกลบเกลื่อนเสีย
“ทำเพื่อคุณย่ากับลุงสักครั้งได้ไหมบี ถือว่าขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไขกันทีหลัง”
สไบนางโผเข้ากอดย่าร้องไห้โฮออกมาอย่างกดดัน คุณหญิงได้แต่ลูบหลังหลานสาวด้วยความสงสาร ประมุขเองก็สงสารหลานแต่ความเห็นแก่ตัวมีมากกว่าความสงสาร...
ooooooo
ในที่สุด พิธีแต่งงานก็เริ่มขึ้น มีพิธีรดน้ำสังข์ที่โถงบ้าน เจ้าบ่าวอุปมานั่งหน้านิ่งขรึมสวมมงคลพร้อมรอรดน้ำสังข์อยู่ข้างๆเจ้าสาวสไบนางที่ตาแดงก่ำ กะพริบตาถี่ๆกลืนน้ำตาไม่หยุด
คุณหญิงรุจาเข้ามารดน้ำสังข์ให้เจ้าบ่าวต่อด้วยรดเจ้าสาว พูดพอได้ยินกันแค่สามคนว่า
“ขอบใจทั้งสองคนมากที่ช่วยรักษาหน้าผู้ใหญ่ ผ่านงานวันนี้ไปก่อน แล้วเราค่อยหาทางแก้ไขกัน” แล้วพูดกับสไบนางอย่างสะเทือนใจจนน้ำตาคลอ “ย่าขอโทษนะบี”
คุณหญิงรีบเดินออกไปก่อนที่น้ำตาจะไหลท่วม บารมีเดินเข้ามารดน้ำสังข์ สั่งลูกชายเสียงเข้ม
“แกห้ามล่วงเกินน้องเด็ดขาดเข้าใจไหมมาร์ค นี่คือคำสั่ง...รับปากพ่อ” เมื่ออุปมารับปาก บารมีเดินไปรดน้ำสังข์ ให้สไบนางต่อ พูดอ่อนโยนอย่างเห็นใจ “คิดเสียว่านี่คือการเล่นละครฉากนึงก็แล้วกันนะหนูบี”
สไบนางช้อนตาขึ้นมอง บารมีพูดจริงจังว่า “ลุงจะดูแลชีวิตหนูและหาทางชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหนูในวันนี้ให้ดีที่สุด ลุงสัญญา”
“ชีวิตบีจบแล้วล่ะค่ะลุงมี” สไบนางทนไม่ได้ร้องไห้ออกมา ถูกมาร์คแขวะว่าจะร้องทำไมนักหนา ดีใจมากหรือ สไบนางจิกมองด่าเบาๆ “ไอ้บ้ามาร์ค ฉันเกลียดแก”
“ฉันรักเธอตายล่ะ” อุปมาพึมพำใส่แล้วทำหน้านิ่ง
“ชีวิตฉันพังพินาศหมดแล้ว” สไบนางร้องไห้โฮออกมาคาตั่งรดน้ำสังข์นั่นเอง...
ooooooo
ย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน...
ที่บ้านสวน สไบนางในวัย 17 ปี เด็กสาวผู้แก่นแก้ว ดื้อรั้น มั่นใจตัวเอง และเอาแต่ใจนุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืด ไปกระโดดน้ำเล่นที่สะพานสูง โดยมีระเบียบเด็กหญิงรุ่นน้องเป็นลูกไล่
ทั้งสองไปกระโดดน้ำจากสะพานสูง จนยายจันทร์คนเฝ้าบ้านสวนตกใจเฝ้ามองอย่างใจหายใจคว่ำจนสไบนางโผล่ขึ้นมาจึงโล่งอก
เมื่อกลับถึงบ้าน บังอรบอกให้รีบไปอาบน้ำสระผมเดี๋ยว จะเป็นหวัด สไบนางเถียงว่าตนหัวแข็งอยู่แล้วไม่เป็นไรหรอก ครั้นวิจิตรามาเห็นถามว่าไปทำอะไรมา ก็ตอบหน้าตายว่าโดดน้ำคลองเล่นมา
วิจิตราบ่นว่าไม่รู้จักโตเสียที แทนที่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย สอนให้เอาอย่างพี่เมเขาที่เรียนเก่งได้เกียรตินิยมอันดับ 1
สไบนางพูดต่อให้อย่างรู้ทางว่า “สอบทุนรัฐบาลได้ไปเรียนเมืองนอกได้ทำงานมีหน้ามีตาในกระทรวงต่างประเทศ” เลยถูกวิจิตราเอ็ดว่าตนเตือนเพราะความหวังดี พอดีคุณหญิงรุจาเดินมาได้ยินถามว่า มีอะไรกันอีก แต่พอเห็นสภาพเปียกม่อลอก ม่อแลกของสไบนางก็บ่นว่าไปเล่นน้ำคลองมาอีกแล้วสินะ
สไบนางยิ้มแหยๆ ครั้นคุณย่าไล่ให้ไปอาบน้ำก็ทำพูดทะเล้นว่า “ขอบคุณค่ะคุณย่า มาช่วยชีวิตหนูทันพอดี” แล้วโผเข้ากอดทั้งที่ตัวเองเปียก จนคุณหญิงโวยวายไล่ให้รีบไปอาบน้ำเสีย
เมื่อสไบนางวิ่งขึ้นห้องไปแล้ว วิจิตรายังบ่นว่าไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย คุณหญิงเหล่มองสะใภ้อย่างไม่พอใจนัก สั่งบังอรให้ช่วยเก็บเสื้อผ้าของสไบนางให้เรียบร้อยด้วยพรุ่งนี้จะกลับแล้ว
“เอ่อ...คุณแม่ค่ะ ที่ท้ายคลองใครย้ายมาอยู่เหรอคะ เห็นสร้างบ้านซะใหญ่โต” วิจิตราถาม
“แม่ก็ไม่แน่ใจนะ กว้านซื้อที่ไปทั่ว เห็นยายจันทร์บอกว่าเป็นเศรษฐีย้ายกลับมาจากเมืองนอก”
ooooooo

บ้านใหญ่โตหลังที่ว่านั้น คือบ้านไทยประยุกต์ที่บารมีสร้างให้อุปมาผู้เป็นลูกชายนั่นเอง หัสดินที่เป็นสถาปนิกเพื่อนสนิทของอุปมาซึ่งดูแลงานนี้อยู่ บอกบารมีว่า ได้ติดต่อขอซื้อที่ดินทำถนนไว้แล้วเขาเรียก 7 ล้าน 5
บารมีเห็นว่า 7 ล้าน 5 แพงไปสำหรับความจริง แต่ถูกมากถ้าจะทำให้ความฝันเป็นจริง หันมองไปรอบๆถอนใจ พลางรำพึง
“สามสิบกว่าปี ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก แต่ลุงก็ดีใจนะที่ได้กลับมาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้อีกครั้ง ไม่ใช่สิ ของเจ้ามาร์คมันตะหาก บ้านลุงหลังเล็กโน่น”
บารมีชี้แจงว่าตนไปๆมาๆจะอยู่บ้านหลังใหญ่ทำไม สร้างบ้านหลังนี้ไว้เป็นเรือนหอของมาร์คต่างหาก หัสดินตกใจพึมพำงงๆ “เรือนหอเหรอครับ...”
ooooooo
ตกค่ำสไบนางในชุดอยู่กับบ้าน รำไทยโชว์คุณหญิง ประมุข บังอร และยายจันทร์ดูที่ลานบ้าน ยายจันทร์คนเก่าแก่ชมว่ารำได้สวยงามไม่แพ้คุณแม่เธอเลย บังอรยิ้มปลื้มบอกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็แบบนี้แหละ
รำโชว์เสร็จประมุขให้รางวัลหลานสามพันบาท ทำเอาสไบนางดีใจจนเต้นเป็นลิงเป็นค่างรับเงินแล้วยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มประมุขซ้ายขวา จนคุณหญิงพูดขำๆว่า
“ตายๆนางรำฉันกลายเป็นหนุมานไปเสียแล้ว”
ส่วนวิจิตรานั่งหน้าบึ้งตำหนิประมุขว่าให้มากไปรำกะโหลกกะลาแก้บนแค่นี้ให้ร้อยสองร้อยก็พอแล้ว เลยทำให้บรรยากาศกร่อยไปทันที ยายจันทร์บ่นเบาๆ
“วงแตกแล้วคุณบังอร...นังเบียบไปนอน”
สไบนางไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับคำตำหนิของวิจิตรา ซ้ำยังย้อนถามว่าแล้วเมธาวีรำได้สวยเท่าตนรึเปล่าล่ะ ทำให้วิจิตราโกรธ พาลหาว่าสไบนางทำแต่เรื่องไร้สาระ อยากรู้นักว่าเอาเวลาตอนไหนไปอ่านหนังสือสอบ จนคุณหญิงตัดบทไล่ให้สไบนางไปอ่านหนังสือในห้องเสีย
วิจิตราบ่นไม่พอใจหาว่าทุกคนถือหางสไบนางจนแตะต้องไม่ได้น่าหมั่นไส้นัก แต่ประมุขกลับเห็นว่าเด็กรุ่นใหม่อย่างสไบนางสนใจอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างนี้น่าชื่นชมมากกว่า
“เข้าข้างกันเสียจริ๊ง คุณก็เลิกรักหลานสาวให้มันออก นอกหน้าได้แล้วนะ ยัยเมน้อยใจจะตายอยู่แล้ว รู้ตัวมั่งไหมว่าลูกสาวในไส้ตัดพ้อว่าพ่อรักบีมากกว่าตัวเองให้ฉันฟังแทบทุกคืน ฉันสงสารลูกจนพูดไม่ออกเพราะคุณทำตัวน่าเกลียดยังงั้นจริงๆ”
ว่าแล้วค้อนกระแทกใส่อีกทีก่อนเดินไป ประมุขสบตาคุณหญิงอย่างอ่อนใจ คุณหญิงถอนใจแล้วเบือนหน้าไปอีกทางอย่างไม่อยากออกความเห็น
ooooooo
เมธาวีในวัย 24 ปี ลูกหัวแก้วหัวแหวนของวิจิตรา เป็นญาติผู้พี่ของสไบนาง เธอดีพร้อมทุกกระเบียดนิ้ว วางมาดระเหิดระหงตลอดเวลา มีเพื่อนชายคนสนิทคืออาทิตย์ ผู้กองหนุ่มนักเรียนนอก
คืนนี้ ทั้งเมธาวีและอาทิตย์กับเพื่อนๆ ที่ไปเที่ยวชะอำเดินคุยกันที่หน้าตลาดโต้รุ่งเพื่อหาอะไรทานกัน แต่เมธาวีไม่ยอมเข้าตลาด เธอหยุดมองอย่างรังเกียจ บอกอาทิตย์ว่าอยากนั่งร้านห้องแอร์ บรรยากาศดีๆสบายๆไม่ต้องมาเบียดเสียดผู้คนอย่างนี้
อาทิตย์เห็นว่ามาทะเลทั้งทีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเพราะร้านแบบนั้นก็ทานกันที่กรุงเทพฯเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เมธาวีไม่ยอมจะปลีกตัวไป ชายหนุ่มจึงตามไปโดยโทร.บอกเพื่อนๆว่าเมธาวีไม่สบายต้องพากลับ นัดเจอกันที่โรงแรมก็แล้วกัน
เมธาวีพอใจที่อาทิตย์ต้องตามใจตน เห็นตนสำคัญกว่าเพื่อนๆกลุ่มนั้น
ooooooo
สไบนางก็มีเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เด็กคือชันษา ชันษาเรียนจบมีอาชีพเป็นทนายความเล็กๆ แต่ก็ยังเล่นกับสไบนางเหมือนตอนเด็กๆ มีความรู้สึกดีๆกับสไบนาง แต่สไบนางแก่นกะโหลกจนไม่สนใจอะไร
วันนี้ชันษามาหาแต่เช้า บังอรขึ้นไปตาม สไบนางวิ่งพรวดๆลงมา ชนวิจิตราที่เดินเลี้ยวจากห้องรับแขกพอดี เลยโดนตำหนิตามเคยทั้งยังทวงคำขอโทษด้วย สไบนางยกมือไหว้ขอโทษอย่างขอไปที ยังโดนด่าว่าเดินประสาอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ

“ม้าอยู่ในคอก เรืออยู่ในคลอง บีเดินในบ้าน คุณป้าก็เดินในบ้าน ไม่มีใครเป็นม้าเป็นเรือ” สไบนางกวนประสาท เลยถูกด่าอีกรอบว่าเถียงคำไม่ตกฟาก ทั้งยังถามว่าเมื่อไหร่จะทำตัวเป็นกุลสตรีได้อย่างเมธาวีเสียที

สไบนางลอยหน้าถามว่า เมื่อไหร่จะเลิกเอาตนไปเปรียบเทียบกับเมธาวีเสียที ตนไม่อยากเลียนแบบใคร วิจิตรา ยังไม่ยอมหยุดพูดยกย่องชมเชยลูกสาวตัวเองทับถมสไบนาง จนสไบนางเริ่มโกรธท้าทายว่า

“บีไม่มีวันเป็นเหมือนพี่เม อะไรที่ทุกคนเห็นว่าพี่เมทำแล้วดี น่าชื่นชม บีจะไม่ทำ บีจะทำทุกอย่างตรงข้ามกับพี่เมให้หมดเลย” พูดแล้วเดินปึงปังไปเลย

วิจิตราจ้องจิกตาม คำรามเบาๆ “จองหอง!”

ooooooo

    

เมื่อมาพบชันษา เขาชวนไปวิ่งกัน สไบนางถามว่าตอนนี้หรือ เลยถูกชันษาแหย่ว่าหรือยังอยากนอนอยู่ สไบนางเลยคุยอวดว่าตนตื่นเตรียมพร้อมตั้งแต่ตี 5 แต่มีเวลาเลยเอนหลังเผลอหลับไป แล้วนัดเป็นพรุ่งนี้ค่อยมาวิ่งกัน ชันษาบอกว่าพรุ่งนี้ตนไม่อยู่จะไปว่าความกับลูกพี่ที่พิษณุโลก ถามว่าอยากได้อะไรไหม พลางมองไปรอบๆ ถามว่าเมธาวีไม่อยู่หรือ
สไบนางบอกว่าไปเที่ยวกับเพื่อนที่ชะอำ ชันษาพึมพำอย่างขอความเห็นว่าไม่รู้จะซื้ออะไรมาฝากเมธาวีดี สไบนางเลยฉอดๆ ว่าเมธาวีไม่รับของฝากจากต่างจังหวัดหรอกถ้าเป็นของต่างประเทศว่าไปอย่าง

“ชันรู้นะว่าบีไม่ชอบคุณเม เพราะคุณย่าและทุกๆคนชอบเคี่ยวเข็ญให้บีเอาอย่างคุณเม”

สไบนางหยุดกึกมองชันษาตาขวาง ชันษายังถามอีกว่าแล้วเมธาวีรู้ไหมว่าเธอทำตัวเป็นปรปักษ์ลับหลังตลอดมา สไบนางเสียงเขียวปราม “พูดให้ดีนะชัน”

“ชันรักบี ไม่อยากให้บีมีความคิดมืดๆครอบงำจิตใจอย่างนี้ การยอมรับความสำเร็จของคนอื่นเป็นสิ่งดีนะบี คุณเมเก่งและเป็นคนดี ถึงจะเจ้ายศเจ้าอย่างเลือกคบคนอยู่บ้างก็เป็นสิทธิ์ของเขา”

“ถูก การเลือกคบคนเป็นสิทธิ์ของพี่เม ความงี่เง่าหลงรักเขาข้างเดียวโดยที่เขาไม่ยินดีด้วย มันก็เป็นสิทธิ์ที่ชันควรได้รับเหมือนกัน”

ถูกพูดแทงใจดำเข้า ชันษาก็หน้าจ๋อย สไบนางรุกต่ออย่างไม่ยั้ง

“ความคิดจะสว่างจะมืดมัวยังไงก็เรื่องของบี ชันไม่เกี่ยว ชันเป็นคนยอมรับสิทธิของแต่ละคนใช่ไหม ต่อไปบีตัดสิทธิ์ไม่รับชันเป็นเพื่อน ไปให้พ้นเลย” สไบนางผลักอกชันษาแล้วเดินเข้าบ้านไปเลย

ชันษาไม่ถือสาพูดตามหลังว่าเธอพูดแบบนี้เป็นครั้งที่ 1,026 แล้ว เมื่อวันศุกร์พูดอีกหนเป็น 1,027 สไบนางหันมองตาเขียวคำราม “ไอ้ชัน” แล้วคว้าของใกล้มือขว้างใส่จนชันษาหลบแทบไม่ทัน แต่เขาไม่โกรธ ไม่ถือสาเพราะชินชากับนิสัยของเธอตั้งแต่เด็กแล้ว

ooooooo

โมโหจนหน้ามืดตามัวเดินปึงปังเข้าบ้าน เกือบชนวิจิตราเข้าอีก แต่คราวนี้สไบนางไม่หยุดไม่มองเดินเลี่ยงขึ้นบันไดไปเลย ถูกด่าตามหลัง “นังม้าดีดกะโหลก”

แต่พอวิจิตราออกไปเจอชันษาก็ถามเสียงอ่อนโยนว่าจะกลับแล้วหรือ พูดหยอกเหยียดๆตามเคยว่ามุดรั้วกลับอีกล่ะสิ
ชันษารู้จักวิจิตราดีแต่ตอบอย่างสุภาพว่าตนไม่ใช่เด็กๆแล้ว ก็ยังถูกหยอกแกมหยิกว่านึกว่าไม่ยอมโตเสียอีก ไม่วายชมอย่างดูถูกในทีว่า “ได้ยินว่าอุตส่าห์เรียนจบกับเขาได้ เก่งเหมือนกันนะ”

จากนั้นก็วกมาชมลูกสาวตัวเองเสียเลอเลิศ จนชันษาเกือบเดินหนีเพราะทนฟังไม่ได้ วิจิตราพูดดูถูกทิ้งท้ายว่า “ตั้งอกตั้งใจทำงานนะ เพื่อนนำไปไกลแล้ว” ชันษาก็ได้แต่นิ่งอย่างเก็บอารมณ์

แยกจากวิจิตรามาแล้วชันษาเดินมาเห็นรอยแยกของคอนกรีตที่ฐานรั้วซึ่งเป็นรูที่พวกตนเคยมุดผ่านไปผ่านมาระหว่างสองบ้านเมื่อตอนเด็ก อดคิดถึงชีวิตในวัยเยาว์ไม่ได้

เวลานั้น สไบนางเพิ่งจะ 5 ขวบ เมธาวี 11 ขวบและชันษา 13 ขวบ อยู่ในวัยไล่เลี่ยที่เล่นกันได้อย่างสนุก เขากับสไบนางมุดรั้วข้ามไปมาแต่เมธาวีไม่ยอมมุดเธอต้องเดินเข้าออกทางประตูเท่านั้น

คิดถึงความหลังแล้วอยากลองมุดรั้วดูอีกที แต่ไม่ทันมุดก็ได้ยินเสียงแตรรถดังเข้ามา หันไปดูจึงเห็นเมธาวีนั่งหน้าเชิดอยู่ข้างคนขับ หนุ่มร่างใหญ่มาดดี ที่รีบลงมาเปิดประตูรถให้

เมธาวีสั่งคนรับใช้ให้ไปขนของลงจากท้ายรถแล้วชวนชายหนุ่มขึ้นไปไหว้คุณย่ากับคุณแม่ก่อน ชายหนุ่มตอบรับอย่างยินดีว่า “ได้ครับ จะได้ถือโอกาสฝากเนื้อฝากตัวกับคุณย่าเสียเลย”

ชันษาหยุดมองอยู่อย่างนั้นจนวิจิตราออกมารับชายหนุ่มเข้าบ้านไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดี ชันษาได้แต่ถอนใจเมื่อดูสภาพตัวเอง แล้วตัดสินใจมุดรั้วกลับบ้านไปอย่างเจียมตัว

ooooooo

เมื่อเข้าไปนั่งในห้องรับแขก วิจิตราแนะนำแก่คุณหญิงรุจาว่า

“คุณแม่คะ นี่ร้อยตำรวจเอกอาทิตย์ สุริโย เพื่อนลูกเมค่ะ”

อาทิตย์ยกมือไหว้ คุณหญิงรับไหว้ถามว่าไหนว่าจะกลับเมื่อวาน อาทิตย์ชี้แจงว่าเมื่อวานปาร์ตี้กันหนักไปหน่อยตนกลัวจะไม่ปลอดภัยเลยกลับเช้ามืดแทน วิจิตราชมเปาะว่าดีแล้วให้ปลอดภัยไว้ก่อนเพราะอนาคตยังไกลทั้งคู่

เมธาวีขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปทำงาน ส่วนวิจิตราขอตัวไปสั่งเด็กจัดกาแฟกับของว่างมาให้อาทิตย์ ชายหนุ่มจึงนั่งคุยกับคุณหญิงตามลำพัง

เมธาวีเดินขึ้นข้างบนสวนกับสไบนางที่วิ่งตึงตังลงมา เธอมองการแต่งตัวของสไบนางแล้วเตือนให้แต่งดีหน่อยเพราะวันนี้ตนมีแขก สไบนางถามว่าต้องแต่งส่าหรีเต้นทำคอยึกยักด้วยไหม แล้วทำท่าเต้นยึกยักเมธาวีฉุนไล่จะไปไหนก็ไปเลย

ลงมาเจออาทิตย์นั่งอยู่กับคุณย่า สไบนางถูกคุณย่าบอกให้ไหว้พี่เขาแล้วแนะนำแก่อาทิตย์ว่า

“หลานสาวคนเล็ก ลูกของน้องชายลุงประมุขเขา”

อาทิตย์มองพูดยิ้มๆว่ามิน่าถึงไม่ค่อยเหมือนเมธาวีเท่าไร สไบนางพึมพำให้ได้ยินว่าตนก็ไม่อยากเหมือนหรอก แล้วจะเดินไป คุณหญิงบอกให้นั่งคุยกันก่อน สไบนางพูดหน้าซื่อตาใสว่าเป็นเพื่อนพี่เมก็คุยกับพี่เมสิถึงจะถูกคอ

กิริยาแก่นห้าวการพูดจายียวนเล่นลิ้นของสไบนางทำให้คุณหญิงต้องพูดออกตัวกับอาทิตย์ว่า อย่าถือสาเลยเพราะน้องยังเด็ก เพิ่งจะจบ ม.6 เอง อาทิตย์ยิ้มอย่างเอ็นดูบอกว่าไม่เป็นไรตนเป็นคนสบายๆ

ooooooo

วันนี้เป็นวันสอบเสร็จ ลุงแก้วคนขับรถไปรับสไบนางที่โรงเรียน ปรากฏว่าเธอไม่ยอมกลับบ้านแต่ชวนเพื่อนๆไปเที่ยวบ้านสวนด้วยกัน ลุงแก้วบอกว่าคุณย่าฝากเรียนพิเศษกับคุณหญิงฉัตรที่บ้านไว้แล้ว แต่สไบนางไม่ยอมต้องไปวันนี้ให้ได้ ถ้าลุงแก้วไม่ไปส่งก็จะเรียกแท็กซี่ไปเอง

สุดท้ายลุงแก้วต้องยอมขับรถพาไปที่บ้านสวนจนค่ำ เมธาวีอยู่ที่บ้านโทรศัพท์หาประมุขแต่พ่อไม่รับสายเธอบ่นอย่างหงุดหงิดว่าสงสัยต้องใช้เบอร์หลานสาวโทร.ถึงจะรับ วิจิตราบอกว่าเดี๋ยวพ่อก็โทร.กลับมาเองแหละ แล้วหันไปคุยต่อกับคุณหญิงอย่างติดลมว่า

“พ่อของอาทิตย์เป็นนายทหารรุ่นพี่ของคุณประมุข ตอนนี้ใหญ่โตเชียวล่ะค่ะ เสียดายถ้าคุณพี่ไม่ออกจากราชการเสียก่อนคงใหญ่โตไม่แพ้กัน” คุณหญิงติงว่าอย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บอีกเลย วิจิตราจึงเล่าต่อว่า “ส่วนแม่อาทิตย์ก็คุณหญิงทิพยาไงคะ คุณแม่น่าจะเคยได้ยินชื่อเธอ คนนี้ดังมากในหมู่ไฮโซ”

เมธาวีบ่นแม่ว่าจะเยินยออาทิตย์อีกนานไหมตนยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะคบเขาเป็นแฟนเพราะตนยังมีโอกาสเลือกอีกเยอะ ซึ่งคุณหญิงก็เห็นด้วย บอกให้คบกันไปดูกันไปไม่ต้องรีบร้อน หน้าที่การงานเราดีมีโอกาสเจอคนดีๆอีกเยอะ ซึ่งเมธาวีก็รับคำทันที แล้วชวนไปทานข้าวดีกว่า คุณหญิงบอกว่าจะรอสไบนางก่อน

วิจิตราพูดประชดว่าไม่เห็นหน้าหลานรักคุณย่าทานข้าวไม่อร่อยหรอก เลยถูกคุณหญิงปรามว่า อย่าพูดจาส่อเสียดให้หลานแตกแยกกันเลย วิจิตราจึงเงียบไป พอดีลุงแก้วเดินหน้าเจื่อนเข้ามารายงานว่า สไบนางไม่ยอมกลับจะค้างที่บ้านสวน พลางส่งสมุดผลการเรียนให้คุณหญิง

คุณหญิงตำหนิลุงแก้วว่าทำไมไม่โทร.บอกก่อน ลุงแก้วบอกว่าสไบนางยึดโทรศัพท์ไป กระนั้นก็ยังถูกดุว่าโทรศัพท์สาธารณะก็มีทำไมไม่โทร. แล้วลุกเดินไปที่โต๊ะอาหารบ่นอุบอิบ

“ฉันเบี้ยวนัดหญิงฉัตรยอมให้ไปเล่นที่บ้านสวนก็น่าจะพอแล้ว”

ooooooo

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย บทประพันธ์ พัดชา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ผิน เกรียงไกรสกุล
  • 11 กันยายน 2554, 08:31 น.

My Blog List