Sunday, September 11, 2011

บทละคร รอยไหม ตอนที่ 3

 
ไหมแมสงสัยว่าเรรินกลับไปหรือยัง จึงเดินออกมาดู เธอเห็นจักรยานจอดอยู่ ก็กลัวจะแอบเข้าไปทอผ้าอีกจึงลงไปดูชั้นล่าง เมื่อสวนกับช่างไฟ เธอถามหาเรริน ช่างยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ในห้องทอผ้าแน่นอน แต่ไหมแมไม่วางใจ รีบเข้าดูให้เห็นกับตา

เรรินที่ซ่อนตัวอยู่หน้าเสีย กลัวไหมแมพบ เธอทำใจดีสู้เสือ ส่งยิ้มให้ไหมแมที่เดินตรงเข้ามา แต่ต้องแปลกใจ เมื่อไหมแมเดินผ่านไปเฉย ราวกับเรรินไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

ไหมแมเดินหาเรรินจนทั่วแต่ไม่พบจึงหันไปหยิบผ้าขาวมาปิดผ้าส่วนที่ทอไม่เสร็จไว้ตามเดิม แล้วเดินออกไปพร้อมล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา เพราะเข้าใจว่าเรรินคงขึ้นไปจุ้นจ้านอยู่ชั้นบนแล้ว

ด้านเรรินยังงงไม่หาย หันมาถามเจ้าศิริวัฒนาว่าทำไมไหมแมจึงไม่เห็นเธอ

“เรื่องบางเรื่องก็เป็นความจริงที่เหนือความจริง ยากที่จะเข้าใจ”

“ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่เข้าใจ”

“คุณจะทอผ้าต่อไหม” เจ้าศิริวัฒนาเปลี่ยนเรื่อง

“ใจฉันอยากจะทอทั้งวันทั้งคืนอยากจะให้ผ้าผืนนี้เสร็จสมบูรณ์จะแย่อยู่แล้วค่ะ”

“ถึงเวลาที่มันจะเสร็จสมบูรณ์จริงๆคุณอาจจะไม่อยากให้มันเสร็จก็ได้”

“คุณพูดอะไรคลุมเครือเสมอ วันนี้ฉันคงทอได้เท่านี้เพราะตอนนี้ฉันห่วงมากกว่าว่า ฉันจะออกไปจากห้องนี้ได้ยังไงคุณไหมแมเขาล็อกประตูคล้องกุญแจเสียแล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องยากหรอกที่จะออกไปจากห้องนี้เพียงแต่คุณอาจจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย” เจ้าศิริวัฒนามองไปที่ช่องระบายอากาศขนาดเล็ก แต่พอจะให้เรรินมุดออกไป

เรรินปีนออกมาทางช่องระบายได้สำเร็จ ไหมแมที่กำลังตามก็มาพบเข้าพอดี หญิงสาวปั้นยิ้มสู้อ้างว่าออกมาเดินเล่น

“สุมาเต๊อะเจ้าแถวนี้เป็นเขตหวงห้ามเป็นตี้ส่วนบุคคลเน้อเจ้า บ่ใจ่สวนสาธารณะ เจินคุณออกไปได้แล้วละเจ้า พิพิธภัณฑ์จะปิดแล้วโตย” ไหมแมเดินคุมเชิงต้อนเรรินออกไป

เรรินจำใจจูงจักรยานเดินออกจากคุ้ม คิดหาหนทางกลับเข้าไปทอผ้าต่อให้เสร็จ จู่ๆรถของสุริยวงศ์ก็แล่นเข้ามาประกบ เพราะชายหนุ่มรู้จากวันดาราว่า เรรินออกมาจากรีสอร์ตตั้งแต่เช้า เขาเชิญเธอไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านก่อน
ระหว่างนั่งดื่มกาแฟ สุริยวงศ์คุยให้เรรินฟังญาติทางคุ้มเจ้าหลวงมีโครงการจะเปิดคุ้มเป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะทุกอย่างยังอยู่สมบูรณ์ และถ้าเรรินได้เข้าไปดูคงชอบ

“เหรอคะ” เรรินเริ่มเห็นลู่ทาง

“อีกสองวันจะมีงานเลี้ยงประจำตระกูล ความจริงก็งานรวมญาตินั่นแหละครับจัดทุกปีที่คุ้มเจ้าหลวง คุณรินสนใจไปด้วยกันไหมล่ะครับ”

“ฉันจะเข้าไปได้ยังไงล่ะคะ  ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ซะหน่อย”

“ก็ไปเป็นแขกของผมกับพี่วันไงครับ” สุริยวงศ์สรุป

เรรินพบความหวังเรืองรอง

ooooooo

วงพระจันทร์ที่มีเฝือกอ่อนดามคอ เดินเชิดคอแข็งเข้ามาทักสุริยวงศ์

“คุณไปทำอะไรมา” สุริยวงศ์แปลกใจ

“แอกซิเดนท์ นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่ซีเรียสอะไร” วงพระจันทร์ตอบพลางปรายตามองเรรินด้วยหางตา แล้วสำแดงภูมินักเรียนฝรั่งเศสถามสุริยวงศ์ด้วยสำเนียงเริด “ใครกันแม่คนนี้ คุณจะไม่แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยเหรอคะ”

“นี่คุณเรรินเป็นแขกของพี่วันดารา คุณรินครับนี่

วงพระจันทร์ จะว่าไปก็เหมือนลูกพี่ลูกน้องผมล่ะครับ เพราะท่านพ่อของผม กับท่านแม่ของวงพระจันทร์เขาก็เป็นญาติกันห่างๆ”

วงพระจันทร์ขัดใจที่สุริยวงศ์แนะนำเธออย่างนั้น

“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณวงพระจันทร์” เรรินยิ้มให้

“ดูไกลๆก็พอดูได้ ดูใกล้ๆก็งั้นๆ จืดๆ ชืดๆ” วงพระจันทร์ตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งเศส

เรรินสงบนิ่งเป็นปกติทั้งที่ฟังรู้เรื่องทั้งหมด

สุริยวงศ์ฉุนแทน ถามวงพระจันทร์ว่ามีธุระอะไร เรรินเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดี ก็ขอตัวกลับ สุริยวงศ์อาสาไปส่ง แต่ขอเข้าไปสั่งงานเด็กๆที่หลังร้านก่อน

“คุณมาเชียงใหม่ทำไม มาเที่ยวเฉยๆหรือ” วงพระจันทร์ยิงคำถาม

“ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ”

“เชียงใหม่ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็เหมือนๆกรุงเทพฯน่ะแหละ คุณจะกลับเมื่อไหร่ล่ะคงอยู่ไม่กี่วันใช่ไหม” วงพระจันทร์ทิ้งท้ายก่อนเดินตามสุริยวงศ์ไป

วงพระจันทร์เข้ามาต่อว่าสุริยวงศ์เรื่องคอยเทียวรับเทียวส่งเรริน พร้อมให้เหตุผล “คนสมัยนี้เสือสิงห์กระทิงแรดกันทั้งนั้น ดูแต่หน้าตาไม่ได้หรอกแม่คนนี้ทำท่าหงิมๆแต่จริงๆแล้วมาทำอ่อยคุณ เพราะมันอาจจะรู้ก็ได้ว่าคุณนามสกุลอะไร”

“ขอบใจนะวงพระจันทร์ที่อุตส่าห์เตือน แต่ผมจะคบใครเป็นเพื่อน ผมคิดเองได้”

“หมายความว่าคุณจะคั่วแม่นี่ต่อไป”

“คุณเองบอกให้ผมแคร์นามสกุล แต่คุณไม่รู้ตัวรึไง ว่าแต่ละอย่างที่คุณคิด คุณพูดออกมามันทำให้นามสกุลดูแย่ลงไปขนาดไหน”

“คุณไม่มีทางได้ชื่นมื่นกับแม่คนนี้หรอก เพราะยังไง คุณย่าก็ไม่ชอบขี้หน้ามัน” วงพระจันทร์ทิ้งไม้ตาย

ooooooo

ด้านบัวเงิน เธอเข้ามาเรียกผีอีเม้ยในห้อง เพื่อถามเรื่องราวของเรริน ที่ใช้ให้ไปสืบ

“อีนังคนนั้นมันไปตี้คุ้มเจ้าหลวงเจ้าหม่อม บ่ฮู้ว่ามันไปยะอะหยั่ง เม้ยตวยมันเข้าไปบ่ได้ แต่มันเข้าไปอยู่ในนั้นเกือบทั้งวันเจ้า” อีเม้ยรายงานนาย

บัวเงินนั่งอึ้งคิดหนัก เป็นเวลาเดียวกับที่วงพระจันทร์ถามสุริยวงศ์เรื่องไปงานเลี้ยงที่คุ้มเจ้าหลวง เพราะจะให้ชายหนุ่มไปรับด้วย

“คุณย่าบัวเงินท่านสั่งเอาไว้ว่าให้วงพระจันทร์ไปกับคุณ ยังไงคุณก็ต้องไปรับคุณย่าอยู่แล้วนี้คะ วงพระจันทร์จะไปรอที่บ้านคุณย่าบัวเงินละกัน” วงพระจันทร์รวบรัดไม่ยอมให้สุริยวงศ์ได้ปฏิเสธ

div> เมื่อได้ข้อสรุปที่น่าพอใจแล้ว วงพระจันทร์ก็ลากลับ สุริยวงศ์จึงมีโอกาสพาเรรินมานมัสการพระธาตุลำปางหลวงก่อนพากลับรีสอร์ต

“คุณรินไม่เบื่อที่จะเข้าวัดใช่ไหมครับ พี่วันเปิ้นก็มานั่ง วิปัสสนาที่วัดนี้แทบทุกวันพระละครับ” สุริยวงศ์ชวนคุย
“วัดสวยๆอย่างนี้ เข้ามากี่ครั้งก็ไม่เบื่อหรอกค่ะ ตรงกันข้าม ฉันรู้สึกผูกพันกับวัดนี้ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ ที่นี่ทำให้พอจินตนาการออกนะคะว่าสมัยที่อาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดน่ะงดงามขนาดไหน ฉันขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ อาจจะใช้เวลาสักหน่อย” เรรินขยับกล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋าแล้วเดินหามุมสวยๆ
สุริยวงศ์ตามดูแลไม่ห่าง แล้วทั้งคู่ก็ได้พบกับกลุ่มของสรัญญากับเพื่อนๆ สรัญญาไม่ชอบใจนักกลัวเรรินจะมาเป็นมารหัวใจเธออีกจึงแกล้งเปรยเรื่องธนินทร์ แต่เรรินไม่ใส่ใจเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง
สุริยวงศ์กลัวหญิงสาวจะไม่พอใจรีบตามไปอธิบาย “คุณหลี คุณยุ้ย เธอเป็นลูกค้าประจำที่ร้านผมน่ะครับ เธอเพิ่งแนะนำให้ผมรู้จักคุณสรัญญาเมื่อวาน คุณน่าจะดีใจนะครับที่ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่นี่”
“ฉันกับสรัญญาไม่ได้สนิทอะไรกันมากหรอกค่ะ ก็แค่เพื่อนร่วมงาน ทำงานใกล้ๆกันเท่านั้นเอง”
“แต่ท่าทางเขาเหมือนสนิทกับคุณรินมากเลยนะครับ” สุริยวงศ์ยังข้องใจ
เรรินไม่ตอบอะไรเดินหามุมถ่ายรูปต่อ สุริยวงศ์เตือนว่า พื้นแถวนั้นลื่นให้จับมือเขาไว้ แต่เรรินดื้อดึงจะเดินเอง แล้ว ความซวยก็มาเยือน เพราะเธอลื่นเสียหลักจะล้ม แต่คว้ามือสุริยวงศ์ไว้ทัน เป็นจังหวะเดียวกับที่สรัญญาเก็บภาพได้พอดี เพราะเธอจับตาดูทั้งสองอยู่
สรัญญากดส่งภาพประทับใจผ่านมือไปให้ธนินทร์ ทำให้ธนินทร์โกรธมากโทร.มาสอบถามว่า เธอได้รูปนี้มาจากไหน สรัญญาพูดยั่วว่า เธอถ่ายเองกับมือ แต่ถ้ายังดูไม่อิ่มจะออนแอร์สดๆให้ดูตอนนี้ก็ยังได้
“ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร แล้วตอนนี้คุณอยู่ไหน” ธนินทร์ขบกรามแน่น
ooooooo
ขณะที่สรัญญาแต่งเรื่องให้ร้ายเรรินอยู่นั้นสุริยวงศ์ก็พาเรรินมาส่งที่รีสอร์ต วันดาราเดินออกมารับ เช่นเคย แต่เรรินยังหงุดหงิดเรื่องสรัญญา จึงขอตัวไปพักผ่อน วันดาราผิดสังเกตจึงถามน้องชายว่า เกิดอะไรขึ้น
“บ่มีอะหยังดอกครับปี้วันเปิ้นปะคนตี้บ่อยากจะปะเท่าอั้นเน่าะ”
“แล้ววันงานเลี้ยงตั๋วจวนคุณรินเปิ้นแล้วกา”
“จวนแล้วครับท่าทางเปิ้นสนใจ๋ เปิ้นว่าอยากจะผ่อวัฒนธรรมเก่าๆของล้านนาอยู่เหมือนกั๋น ผมกำลังจะบอกปี้วันอยู่เหมือนกั๋นว่า ผมคงมาฮับพี่วันกับคุณรินบ่ไดเพราะผมคงต้องไปฮับคุณย่าเปิ้นครับ”สุริยวงศ์ทิ้งท้าย
ด้านธนินทร์เมื่อฟังเรื่องราวจากสรัญญาจบ ก็รีบมาต่อว่าพรรณวรินทร์ เพราะไม่พอใจที่เธอปกปิดเรื่องเรรินอยู่เชียงใหม่พร้อมกับโชว์ภาพเรรินที่สรัญญาส่งมาให้ดู
“นี่มันอะไรกันธนินทร์แม่ไม่เข้าใจ”พรรณวรินทร์เป็นงง เมื่อเห็นลูกสาวจับมือถือแขนกับชายคนหนึ่ง
“มันก็ไม่น่าจะซับซ้อนจนคุณแม่ไม่เข้าใจนี่ครับ ลูกสาวคุณแม่ไปร่าเริงอยู่กับชายที่ไหนก็ไม่รู้ที่เชียงใหม่โน่น สมัยนี้เขาเรียกมีกิ๊กไงครับแต่ผมว่ามันไม่สะใจ ยังงี้ต้องเรียก มีชู้มันถึงจะถูกใช่ไหมครับคุณแม่” ธนินทร์ตะคอกใส่
พรรณวรินทร์นั่งใจสั่นรู้สึกเหมือนจะเป็นลม
เวลาเดียวกันนั้นเอง บ่าวคลานเข้ามารายงานบัวเงิน “แม่คุณเจ้า...คุณสุริยะโทร.มาบอกฮื้อเรียนคุณแม่ว่า วันงานตี้ คุ้มเจ้าหลวงคุณสุริยะเปิ้นจะมาฮับแม่คุณ ตอนแลงหกโมงเจ้า” แต่บัวเงินนิ่งเหมือนไม่รับรู้อะไร บ่าวจึงถามต่อ “วันงานแม่คุณจะนุ่งผ้าผืนใดเจ้า ข้าเจ้าจะได้เตรียมเอาไปทำความสะอาดรีดหื้อ”
บัวเงินยังคงนิ่งเฉย จนบ่าวเดาอารมณ์ไม่ออกก็ชักกลัวเลยคลานถอยออกไป สักพักบัวเงินก็ลุกเดินเข้าห้องไปเปิดหีบไม้เก็บผ้าโบราณออก แล้วหยิบผ้าซิ่นไหมยกดิ้น เงินตระกูลผ้าลำพูน สีดอกตะแบกออกมาลูบคลำ พลัน...ความทรงจำในอดีตค่อยๆกลับมา
ในค่ำคืนนั้น บัวเงินในวัยสาวสะพรั่งสวมผ้าซิ่นยกดิ้นเงิน สีดอกตะแบกเข้ามารับใช้เจ้าศิริวัฒนาในห้อง
“เจ้ามาแล้วกา บัวเงิน”ผู้เป็นเจ้าของห้องหันมาทัก
“เจ้าปี้ เจ้า”บัวเงินส่งยิ้มหวานบาดใจ
“วันนี้ปวดเมื่อยไปตึงตั๋วเจ้านวดฮื้อปี้ได้ก่อ” เจ้าศิริวัฒนา เดินมาที่เตียง
“ได้เจ้า” บัวเงินขยับมาที่พื้นใกล้ศิริวัฒนาแล้วเริ่มบีบนวดขาให้
“ไผก่อนวดเก่งสู้เจ้าบ่ได้นะบัวเงิน”
“อู้จะอี้หมายความว่า เจ้าปี้เกยฮื้อไผนวดฮื้อกาเจ้า”
“เกย ก็ หมอนวดของเจ้าป้อเจ้าแม่เปิ้นน้าก๊า แต่เปิ้นก็มือหนักจนปี้ปวดระบมไปตึงตั๋ว”
“ถ้าเป๋นหมอนวดของเจ้าป้อเจ้าแม่ ก็แล้วไปเจ้า”บัวเงินทำจริต
“เวลาเจ้างอนนี่น่าเอ็นดูแต้ๆ บัวเงิน”
“ก่อข้าเจ้ากั๋ว กั๋วว่าเจ้าปี้จะหันคนอื่นดีกว่าบัวเงินจะฮักคนอื่นมากกว่าบัวเงิน”
“กั๋วอะหยังบ่เข้าเรื่อง ตี้ปี้ฮ้องใจ้เจ้ากู้คืนจะอี้ บ่ได้หมายความว่าปี้หันเจ้าสำคัญกว่าคนอื่นกา” เจ้าศิริวัฒนาเอื้อมมือมาจับมือบัวเงินแล้วดึงตัวให้ลุกขึ้นพลางเอ่ยชมซิ่นที่เธอนุ่งว่างามแท้ๆ
“ก็ซิ่นผืนนี้เจ้าปี้หื้อบัวเงินตั้งแต่วันปี๋ใหม่ปี๋ตี้แล้วจะไดเจ้า ปี๋นี้ข้าเจ้ายังรออยู่ว่าเจ้าปี้จะหื้อซิ่นอะหยังบัวเงินหรือว่าเจ้าปี้จะลืมไปแล้วก็บ่ฮู้ ว่าบัวเงินรออยู่”
“บ่ลืมหรอก จะลืมได้จะได” เจ้าศิริวัฒนาดึงตัวบัวเงินเข้ามาจูบๆ
บัวเงินทำเอียงอายแต่ก็ไม่ปัดป้อง หลังจากอยู่รับใช้เจ้าศิริวัฒนาจนท่านพอใจแล้ว บัวเงินก็กลับมาที่ห้อง ผ้าซิ่นยกสีดอกตะแบกที่เคยสวม ถูกวางไว้บนเตียง อีเม้ยขยับเข้ามาพับผ้าผืนนั้น บัวเงินหันมากำชับบ่าว
“อีเม้ย มึงต้องคอยผ่อหื้อดีๆว่ามีอีหน้าไหนมันมาแอบส่งสายตาหื้อเจ้าของกูรึเปล่า”
“หม่อมบ่ต้องเป็นกังวลไปหรอกเจ้า ทั้งคุ้มเจ้าหลวง นี่บ่มีไผมันกล้ายะจะอั้นหรอกเจ้า แต่เวลาเจ้าเปิ้นออกไปนอกคุ้ม เม้ยก็บ่แน่ใจ๋”
“มึงทำหื้อกูกังวล”
“โถ หม่อมเจ้าขา เม้ยบ่ได้แกล้งอู้เอาใจ๋ หม่อมเจ้า ทั่วทั้งเจียงใหม่นี่บ่มีไผจะงามสู้หม่อมบัวเงินของเม้ยไดหรอกเจ้า หม่อมอย่ากังวลไปเลย”
“วันไหนกูได้อภิเษกกับเจ้าปี้ศิริวัฒนาได้เป็นชายาเอกของเปิ้น มึงก่อจะได้สุขสบาย ได้เป็นใหญ่ในคุ้มเจ้าหลวงนี่เหมือนกั๋นกูบ่ลืมมึงหรอกอีเม้ยเอ๊ย” แววตาบัวเงินเต็มไปด้วยความหวัง เรื่องราวมากมายเกิดและฝากฝังความเจ็บแค้นไว้ในแววตาของบัวเงินในวันนี้
“คนบ่มีสัจจะ...คนบ่มีหัวใจ๋” บัวเงินตัดพ้อ เพราะเหนื่อยเหลือทนแล้ว
ooooooo
วันดารานำผ้าโบราณที่เธอสะสมไว้มาให้เรรินเลือกเพื่อนุ่งไปงานที่คุ้ม
“รินนุ่งกระโปรงเรียบร้อยๆไปก็พอมั้งคะพี่วัน” เรรินเกรงใจ
“บ่ได้งานนี้งานใหญ่ แขกทุกคนต้องแต่งตัวผ้าเมือง ขืนคุณรินนุ่งกระโปรงตัวเสื้อตัวต้องถูกมองแน่ๆเจ้า เลือกไปเต๊อะฮักผืนไหมก้อหยิบออกมาเลยปี้จะไปดูเครื่องประดับหื้อก่อน” วันดาราขยับไปเปิดตู้หยิบกล่องเครื่องประดับออกมาเลือก
ขณะที่เรรินหยิบผ้าโบราณออกมาทีละชิ้นๆจนเห็นผ้าผืนหนึ่งในหีบ เธอตะลึงมองราวต้องมนต์สะกดแล้วค่อยๆ หยิบมันขึ้นมาพลางเอ่ยกับวันดาราว่า จะขอนุ่งผ้าผืนนี้
วันดาราหันมาเห็นก็ชอบใจบอกเล่าที่มาของผ้าซิ่นผืนนี้ว่า แต่เดิมเป็นของเจ้านางมณีริน
“แล้วพี่วันได้ผ้าผืนนี้มาได้ยังไงคะ” เรรินสนใจ

“หลายปี๋ก่อนปี้ไปจ่วยงานตี้คุ้มเจ้าหลวงนี่แหละ มีแม่อุ๊ยคนนึ่ง ดูเหมือนว่าเปิ้นจะเกยเป็นคนฮับใจ้ใกล้ชิด ของเจ้านางมณีรินเปิ้น จู่ๆ เปิ้นก็เอาผ้าผืนนี้มายัดใส่มือปี้ บอกหื้อฮักษาเอาไว้หื้อดีๆ เจ้านางมณีรินฮักผ้าผืนนี้มากเพราะวันตี้เปิ้นนั่งขบวนจ้างจากเชียงตุงมาเหยียบแผ่นดินเจียงใหม่เปิ้นนุ่งผ้าผืนนี้เจ้า”

เรรินใจเต้นแรงลูบคลำผ้าซิ่นความรู้สึกผูกพัน

เย็นวันต่อมา สุริยวงศ์ในชุดหล่อแบบล้านนาผสมสากลขับรถมารับบัวเงินที่บ้าน เห็นบ่าวเดินพยุงบัวเงินที่นุ่งซิ่นยกลำพูนสีดอกตะแบก สวมเสื้อแขนยาวคอตั้งสวยสง่าตามวัยเดินออกมา

“คืนนี้คุณย่าของผมงามแต้ๆ ครับ” สุริยวงศ์เอ่ยชมแล้วเข้าไปช่วยประคอง

บัวเงินยิ้มตอบไม่ว่าอะไร สุริยวงศ์ถามหาวงพระจันทร์เพราะนัดให้มารับที่นี้ บ่าวว่ายังไม่เห็น

“มันบ่มาก็บ่ต้อง ไปรอมัน คนบ่ฮู่จักเวลา” บัวเงินตัดบทจะเดินไปที่รถ แต่บ่าวเข้ามายื่นดอกพุดให้เหน็บมวยผม

“บ่เอา มึงบ่ฮู้ก๋าว่ากูจังนักอีดอกเก็ดถวาเนี่ย” บัวเงินตวาดพร้อมปัดดอกพุดในมือบ่าวกระเด็นไป

บ่าวจ๋อย สุริยวงศ์เห็นใจรีบตัดบทพาบัวเงินไปขึ้นรถ เป็นจังหวะเดียวกับที่วงพระจันทร์ ขับรถเข้ามาพอดี เธอตะกุยตะกายรีบลงจากรถพลางเรียกให้สุริยวงส์รอด้วย

“แต่งเนื้อแต่งตัวอะหยั่ง” บัวเงินมองอย่างตำหนิเมื่อเห็นวงพระจันทร์แต่งตัวด้วยผ้าล้านนาแต่ประยุกต์เป็นชุดราตรีโลดโผน

“ไม่สวยเหรอค่ะคุณย่า ชุดนี้งานดีไซเนอร์เชียวนะคะ”

“ใส่แล้วเหมือนแม่ญิงจั้งต่ำ” บัวเงินวิจารณ์สั้นๆ แค่ได้ใจความวงพระจันทร์ อ้าปากค้างหมดกันความมั่นใจ

ooooooo

บายศรีสู่ขวัญขนาดใหญ่สไตล์ล้านนางดงามตั้งอยู่กลางห้องโถงในคุ้มเจ้าหลวง เทียนสว่างไสวบรรยากาศดูอลังการ คนที่มาร่วมงานล้วนแต่งตัวแบบล้านนาโบราณ วงดนตรีสะล้อซอซึง บรรเลงสร้างบรรยากาศอยู่มุมนึ่ง สุริยวงศ์พาบัวเงินเข้ามาในงาน วงพระจันทร์ประกบติดแจเพื่อประกาศตัว

แขกในงานเข้ามาไหว้บัวเงินกันสลอน เพราะอาวุโสที่สุดในตระกูล บัวเงินรับไหว้หน้าตาชื่นบาน

“หลานชายคนนี้ฝากผีไข้ได้แต๊ๆ นะเจ้า หม่อม เมื่อใดจะแต่งหลานใป้ฮื้อคุณย่าเปิ้นละสุริยะ จะได้มีหลานให้เปิ้นอุ้มเสียที” แขกคนหนึ่งทักทายสุริยวงศ์

วงพระจันทร์ยิ้มละไมทำเขินนิดๆ แต่สุริยวงส์นิ่งเฉยเพราะไม่รู้จะตอบยังไง บัวเงินจะหันมาคุยกับหลานชาย แต่เห็นสายตาเขาเหมือนมองหาใครอยู่จึงเอ่ยถาม

“มองหาผู้ใด...สุริยะ”

“พี่วันนะครับ ป่านนี้ยังไม่เห็นมาเลย”

“พี่วันน่ะเหรอคะ ป่านนี้คงวุ่นวายทำข้าวไข่เจียวขายแขกที่ห้องเช่ารายวันของแกอยู่ละมังคะ” วงพระจันทร์หัวเราะแล้วหันมาถามบัวเงิน “คุณย่าหิวรึยังคะมีอะไรกินได้บ้างก็ไม่รู้”

“ผมขอตัวออกไปดูพี่วันก่อนนะครับคุณย่า” สุริยวงศ์ เดินออกมาที่หน้าคุ้ม

เพียงครู่เดียววันดาราในชุดซิ่นแม่แจ่มก็นำเรรินที่นุ่งซิ่นเชียงตุง สวมเสื้อเข้าชุดเหมือนหลุดออกมาจากอดีตเมื่อร่วมร้อยปีไม่มีผิดเข้ามา

สุริยวงศ์ยืนตะลึงแทบลืมหายใจกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า แต่เมื่อตั้งสติได้ก็รีบพาสองสาวเข้าไปในงานแขกเหรื่อต่างละสายตาจากฟ้อนดอกบัวกลางห้อง หันไปมองเรรินที่กำลังเดินเข้ามากับสุริยวงศ์และวันดาราเป็นตาเดียวกัน เพราะอยากรู้ว่าเธอคือใคร วงพระจันทร์เห็นเข้าก็ไม่พอใจรีบฟ้องบัวเงิน

“คุณย่าคะ สุริยะพาอีนังผู้หญิงคนนั้นมาด้วยค่ะ ที่กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ก็เพราะรออีนังคนนี้นี่เอง คุณย่าดูสิคะมันดัดจริต แต่งชุดแม่หญิงล้านนาด้วยค่ะ”

บัวเงินมองเขม็งไปข้างหน้าภาพผู้คนในงานค่อยๆเลือนหายออกไป เหลือเพียงมณีรินคนเดียวที่กำลังเดินเข้ามา บัวเงินเหมือนถูกดึงย้อนกลับไปในอดีต เมื่อเจ็ดสิบปีก่อน เพราะเรรินในชุดเดียวกับเจ้านางมณีรินเหมือนคนเดียวกันไม่มีผิด

“อีมณีริน” บัวเงินกำมือแน่น

เรรินซึ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้าบัวเงินระยะใกล้ ไหว้บัวเงินพลางยิ้มให้

“คุณย่าครับ คุณรินไงครับ คุณย่าจำคุณรินได้ก่อครับ” สุริยวงศ์ถาม

“กูจำมึงได้บ่เคยลืม อีมณีริน” บัวเงินจ้องเรรินเขม็ง

เรรินหน้าเจื่อนรอยยิ้มค่อยๆเหือดหาย วันดาราสบตากับสุริยวงศ์รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

“แหม คุณเรรินแต่งตัวยังกะตั้งใจมาโชว์กับพวกช่างฟ้อนเขาเลยนะคะ ไม่รู้เลยรึไงคะว่างานเลี้ยงนี้เขาจัดเป็นงานภายในเฉพาะคนในตระกูลเท่านั้น คนนอกไม่เกี่ยว” วงพระจันทร์แขวะ

“พี่เป็นคนเชิญคุณรินเปิ้นมาเองวงพระจันทร์ คุณรินเปิ้นเป็นแขกของพี่” วันดาราเข้าปกป้อง

“ใช่ ใครเขาก็มีแขกรับเชิญพ่วงมาด้วยทั้งนั้นวงพระจันทร์ งานนี้ไม่ได้มีแต่คนในตระกูล ดูให้ดีก่อนจะพูดอะไรออกไป” สุริยวงศ์เสริม

วงพระจันทร์อ้าปากหวอไม่คิดว่าจะโดนรุม เรรินเริ่มอึดอัดไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย

“วงพระจันทร์ ย่าจะปิ๊กบ้านเดี๋ยวนี้ ย่าบ่มีวันนับญาติกับอีเสนียดจัญไรนี่ดอก” บัวเงินจ้องเรรินเขม็ง
เรรินหน้าชา ขณะที่วงพระจันทร์สะใจ

วันดาราเห็นท่าไม่ดีพาเรรินแยกออกไปนั่งอีกมุมหนึ่ง แล้วชวนคุยเรื่องอาหารในงานเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ “อาหารพวกนี้หากินยากนะเจ้าคุณริน เป็นอาหารเฉพาะในคุ้มเจ้าหลวงเท่านั้น ทีแรกก็กลัวกันว่าจะสูญ แต่ก็คงบ่สูญแล้วละ เพราะสุริยะเปิ้นฮับถ่ายทอดเอาไว้หมดแล้ว คุณรินลองชิมจานนี้สิเจ้า เปิ้นว่าเป็นอาหารแบบเชียงตุง”

“เจ้านางมณีรินท่านเป็นคนเอาเข้ามาเผยแพร่เหรอค่ะ”

“น่าจะเป็นจะอั้น”

“พี่วันค่ะ สองครั้งแล้วนะคะ ที่คุณย่าเรียกรินว่า มณีริน” เรรินยังคาใจ

“เปิ้นคงเลอะเลือน”

“แค่รินนุ่งผ้าผืนนี้นะเหรอคะพี่วัน” เรรินซักอีก

วันดาราส่ายหน้าตอบไม่ได้เหมือนกัน เรรินถอนใจมองไปทางฝั่งตรงข้าม เห็นบัวเงินนั่งอยู่กับสุริยวงศ์และวงพระจันทร์ บัวเงินมองประสานตามาทางเรริน แต่มากไปกว่านั้นข้างๆบัวเงิน ผีอีเม้ยหมอบอยู่ และโผล่หน้าขึ้นมาจ้องมองเรริน หน้าดำๆของมัน ทำให้ลูกตาโปนๆที่มีแต่ตาขาวเด่นเด้งออกมา

เรรินรู้สึกเย็นวาบกับภาพความน่าสะพรึงกลัวตรงหน้า

“คุณรินเจ้า” วันดาราเรียก

เรรินสะดุ้งเฮือกหันมามองวันดารา เห็นเธอทำท่าหนักใจก่อนจะเอ่ย “ความจริงพี่ก็บ่อยากจะพูดดอกแต่ก็อยากหื้อคุณรินเข้าใจ๋ คุณย่าเปิ้นหมายมั่นปั้นมือหื้อวงพระจันทร์มาเป็นหลานสะใภ้เปิ้น”

“รินก็พอจะมองออกค่ะ แต่รินไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยคะ”

“แม่ญิงคนใดมาเกี่ยวข้องพัวพันใกล้ๆสุริยะ คุณย่าเปิ้นก็บ่ค่อยพอใจ๋จะอี้ล่ะเจ้า”

“โธ่...รินกับคุณสุริยวงศ์ เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ อย่างเก่งก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน คุณย่าท่านไม่น่าคิดมากเลย”

“คนแก่แถมหัวโบราณอีกต่างหากจะไปห้ามความคิดเปิ้นได้จะไดคุณริน”

เรรินได้แต่ส่ายหน้ามองวันดาราที่ตักกับข้าวจากจานจะเข้าปากอยู่แล้ว แต่จู่ๆช้อนก็ร่วงลงพื้นด้วยฝีมือผีอีเม้ย แต่ไม่มีใครเห็นตัวมัน

วันดารางงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผีอีเม้ยที่นั่งยองๆอยู่ข้างวันดารา แสยะยิ้มแล้วหันมาจ้องมองเรรินต่อ

“แต่รินสงสัยว่า คุณย่าของพี่วันคงจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้านางมณีรินค่ะ” เรรินชักสงสัย

ผีอีเม้ยแสยะยิ้มอย่างเกลียดชัง เหมือนอยากจะถ่มน้ำลายรดหน้าเรริน

ขณะที่ผีอีเม้ยเข้ามาฟังเรรินคุยกับวันดารา วงพระจันทร์ก็ว่าประชดสุริยวงศ์เรื่องเรรินว่าคงเป็นรักแรกพบ บัวเงินได้ยินก็ถึงกับสะอึกเพราะแทงใจอย่างแรง เธอตวาดใส่วงพระจันทร์หุบปากแล้วจ้องไปทางเรรินนิ่ง จนสุริยวงศ์นึกห่วงเพราะเดาไม่ออกว่า บัวเงินคิดอะไรอยู่

ooooooo

การแสดงฟ้อนเทียนจบลง เรรินมองตามเหล่าช่างฟ้องไปก็พบเจ้าศิริวัฒนายืนมองเธออยู่ เธอสะกิดเรียกให้วันดาราดู เพราะอยากจะรู้ว่าเขาคือใคร แต่เมื่อวันดาราหันมาเจ้าศิริวัฒนาก็หายไปแล้ว เรรินเป็นงงไม่อยากคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงขอตัวออกไปเดินเล่นเพื่อสบโอกาสจะได้แอบเข้าห้องทอผ้าต่อ แต่มีพนักงานเดินผ่านมา เธอจึงต้องหลบเข้าไปในสวนหลังคุ้มแทนเพื่อไม่ให้พนักงานสงสัย

สวนหลังคุ้ม เรรินได้พบกับคำเที่ยงหญิงชราที่แต่งตัวแบบล้านนานุ่งซิ่นเชียงตุงหน้าเข้ามาเรียกเธอว่าเจ้าริน เรรินถอยหนีด้วยความตกใจกลัว

“เจ้าปิ๊กมาแล้ว บ่าวเฝ้าแต่รอ บ่าวแน่ใจ๋ว่าเจ้ารินจะต้องปิ๊กมา แล้วเจ้ารินก็ปิ๊กมาจริงๆ”คำเที่ยงน้ำตาไหลด้วยความดีใจ

“คุณยาย...คุณยายคะ” เรรินพยายามห้ามคำเที่ยง

“เจ้ารินของบ่าว”คำเที่ยงร้องไห้กอดเท้าเรรินไว้

“คุณยายคะ คุณยายเรียกใคร เจ้ารินคือเจ้านางมณีรินใช่ไหมคะ”

“เจ้าหลวงส่งเจ้ารินมา บ่ฮู้เลยว่าส่งมาให้ตาย ทอผ้า ต้องทอผ้าไหมผืนงาม ผ้าไหมแห่งความตาย เจ้ารินปิ๊กมาเพื่อทอผ้าผืนนั้นให้แล้วใช้ก่อทูนหัวของบ่าว”

เรรินยืนตะลึงได้ยินทุกคำพูดชัดเจน เช่นเดียวกับอีเม้ยที่แอบตามมาด้วย มันรีบกลับไปบอกบัวเงินว่าเจ้านางมณีรินกลับมาเพื่อทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จ

“อีมณีริน อีมณีริน” บัวเงินพูดได้เท่านั้นก็ช็อกหมดสติไป

สุริยวงศ์ตกใจสั่งให้คนไปตามหมอแล้วพาบัวเงินเข้าไปในห้องเดิมของเธอ
เวลาเดียวกันนั้น เรรินก็พยายามจะถามคำเที่ยงเรื่องผ้าทอในห้อง แต่คำเที่ยงเอาแต่ร้องไห้ด้วยความดีใจไม่หยุด จนกระทั่งบัวซอนคนดูแลคำเที่ยงตามมาเจอ
“ยาย มาอยู่นี่เองข้าเจ้าตามหาจนทั่ว”บัวซอนบ่นแล้วหันมาขอโทษเรรินที่ดูแลคำเที่ยงไม่ดีปล่อยให้มารบกวน “ไป ยาย ปิ๊กบ้านกั๋นได้แล้วอย่ามากวนคุณเปิ้นเลยเปิ้นเป็นแขกในงานน้อ”บัวซอนเข้ามาดึงตัวคำเที่ยง
“กูจะอู้กับเจ้าริน กูท่าเจ้ารินมาเมินหนักหนาแล้ว กูมีเรื่องมากมายต้องบอกหื้อเจ้ารินฮู้ อีเม้ยมันยังอยู่ มันบ่ได้ไปไหน มันยังท่าเจ้ารินอยู่ มันจะทำร้ายเจ้าริน เจ้ารินของบ่าวต้องระวังตั๋วดีๆเน้อ”คำเที่ยงร้องเตือน
“สุมาเต๊อะเจ้า...เปิ้นเลอะเลือน”บัวซอนบอกกับเรรินแล้วดึงคำเที่ยงออกไปเรรินงงไม่หาย เธอพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทุกสิ่งอย่างเข้าด้วยกัน
ด้านบัวเงินที่ได้กลับมาอยู่ห้องเดิมอีกครั้ง ก็หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตอันแสนเจ็บปวด เธอเห็นตัวเองในวัยสาวนอนร้องไห้อย่างเจ็บช้ำอยู่บนเตียง มีอีเม้ยที่เจ็บปวดไม่แพ้กันเข้ามาปลอบโยน
“กูอยากตาย อีเม้ย กูอยากตาย” บัวเงินฟูมฟาย
“ทูนหัวของเม้ย...อย่าพูดจะอั้นเจ้าคะ”
“กูสิ้นหวังแล้วอีเม้ย แล้วจะอี้จะหื้อกูมีชีวิตอยู่ไปยะหยัง กูเหมือนถูกหักหลังตอนนี้เหมือนตายไปทั้งเป็นอยู่แล้ว แล้วคนที่หักหลังกู ก็บ่ใช่ผู้ใด คนที่กูฮักจนหมดหัวใจแต๊ๆ”
“บ่ใช่ดอกหม่อมเจ้าขา คนที่ทำร้ายหม่อมบ่ใช่เจ้าดอก แต่เป็นมันต่างหาก...อีมณีริน ถ้าบ่มีมันเสียคน อะหยังก็คงบ่เป็นจะอี้ดอก” อีเม้ยแค้นแทน
เจ้าศิริวัฒนาเปิดประตูเข้ามา อีเม้ยรีบรายงานนาย แล้วถอยออกจากข้างเตียง
“บัวเงิน” เจ้าศิริวัฒนาเข้ามาหา
บัวเงินพยายามลุกขึ้น แต่แล้วก็ทรุดลงนั่งกับพื้นร้องไห้ฟูมฟายกอดขาเจ้าศิริวัฒนาไว้
“ทูนหัวของบัวเงิน...ชาตินี้เราเหมือนตายจากกันเสียแล้ว”
“จะใดเจ้าอู้จะอั้น บัวเงิน...เจ้ากับอ้าย ก็บ่ได้จากกันไปตี้ไหนสักเตื้อ”
“เจ้าอ้ายจะต้องอภิเษกกับแม่ญิงอื่นบ่พ้นวัน เจ้าอ้ายก็จะต้องลืมบัวเงินคนนี้”
“เจ้ากึ๊ดนักเกินไป บัวเงิน...ตี้อ้ายต้องแต่งงานกับมณีริน ก็เพราะความจำเป็นแต๊ๆเจียงตุงกับเจียงใหม่ต้องสานไมตรีเพื่อความเป็นปึกแผ่นเดียวกันไว้ เจ้าก็รู้ว่า ถ้าทั้งแคว้นต่างคนต่างอยู่จะเอากำลังที่ใดมาป้องกันศัตรู มันเป็นเหตุผลทางการเมืองแต๊ๆเน้อบัวเงิน อ้ายอยากหื้อเจ้าเข้าใจ”
“เจ้าอ้ายเคยหื้อสัญญากับบัวเงิน ว่าชาตินี้จะมีบัวเงินคนเดียว”
“เจ้าฟังอ้ายเน้อ ต่อหื้ออ้ายแต่งงานกับมณีริน อ้ายก็บ่กึ๊ดจะทิ้งขว้างเจ้าดอก จะไดเสีย เจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นหม่อมของอ้ายอยู่ดี ความรักที่อ้ายมีต่อเจ้าจะบ่มีวันลดน้อยถอยลงเลย” เจ้าศิริวัฒนา เช็ดน้ำตาที่อาบแก้มให้บัวเงิน แล้วประคองให้ขึ้นมานั่งบนเตียง
อีเม้ยที่หมอบอยู่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง สงสารนายตัวเองจับจิต ขณะเดียวกัน สมองก็ทำงานอย่างหนักคิดแผนในใจเพื่อให้นายสมหวัง
“คุณย่าครับ คุณย่า” เสียงสุริยวงศ์เรียกทำให้บัวเงินได้สติ เธอลืมตาขึ้นพึมพำว่า คนตระบัดสัตย์ ลืมแม้กระทั่งคำพูดตัวเอง แล้ววงพระจันทร์ก็พาหมอเข้ามา ทุกคนเปิดเพื่อให้หมอตรวจอาการบัวเงิน
ด้านเรริน เธอตัดสินใจเดินกลับเข้าในงาน เพราะหมดหวังได้ทอผ้าต่อแล้ว เจ้าศิริวัฒนาปรากฏตัวขึ้นพลางร้องเรียก เรรินชะงักและหันกลับมาพร้อมกับคำถามว่า เขาเป็นใครกันแน่และพอจะช่วยให้เธอกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกได้ไหม เพราะอยากทอผ้าผืนนั้นต่อให้เสร็จ
“ขอบใจอีกครั้งสำหรับความตั้งใจแน่วแน่ของคุณ แต่ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้มากไปกว่านี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกระแสแห่งกรรม”
“คุณพูดอะไร ฟังยากจริง ช่วงนี้ฉันเจอแต่เรื่องประหลาดที่ไม่เข้าใจ”
“อีกไม่นานคุณก็จะเข้าใจมันเอง มีคนมาตามคุณแล้ว” ขาดคำ วันดาราก็เดินมา เธอถามเรรินว่า มาทำอะไรตรงนี้
“รินกำลังคุยกับคุณคนนี้ค่ะ” เรรินหันมาทางเจ้าศิริวัฒนาแต่ต้องชะงัก เพราะไม่เห็นท่านแล้ว
“คุณริน” วันดาราชักกลัวรีบชวน “เราเตรียมตัวปิ๊กกันเต๊อะเจ้า บรรยากาศบ่ค่อยดี คุณย่าบ่ค่อยสบาย”
“ท่านเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”
“คงบ่เป็นอะหยัง สุริยะดูแลอยู่เจ้า”
ooooooo
หลังจากหมอตรวจอาการแล้วก็แนะนำให้สุริยวงศ์ควรพาบัวรินไปตรวจให้ละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลเพราะหัวใจเต้นแรงผิดปกติ วงพระจันทร์สรุปเอาเองว่า บัวเงินต้องเป็นโรคหัวใจ จึงสั่งห้ามสุริยวงศ์ขัดใจบัวเงินอีกเพราะอาจทำให้อาการกำเริบ
ด้านเรรินที่กำลังกลับเข้างาน เธอถามวันดาราเรื่องยายคำเที่ยง เพราะจู่ๆ แกก็เข้ามากราบเธอแถมยังเรียกเธอว่าเจ้ารินอีกด้วย วันดาราเล่าว่าคำเที่ยงเป็นบ่าวคนสนิทของเจ้านางมณีรินที่มาจากเชียงตุงด้วยกัน
“บ่าวคนอื่นล้มหายตายจากหรือบ่จะอั้นก็กลับเชียงตุง บ้านเกินกันหมด แต่แม่อุ๊ยคำเที่ยง เปิ้นว่าเปิ้นบ่กลับเปิ้นจะรอท่าเจ้านางมณีรินอยู่ที่นี่ เปิ้นว่าเปิ้นแน่ใจ๋ว่าเจ้านางเปิ้นจะปิ๊กมา”
“หมายความว่า ถ้าหากจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเจ้านางมณีริน ถามยายคำเที่ยงดูก็รู้ทั้งหมด ใช่ไหมคะ”
“พี่ว่าจะบ่ได้เรื่องได้ราวอะหยังดอกค่ะคุณริน คนแก่ขนาดนี้คงจะเลอะเลือนจำอะหยังบ่ได้ แล้วละเจ้า วันหลังพี่ว่าจะมาเยี่ยมเปิ้นอยู่เหมือนกัน เพราะเปิ้นเป็นคนหื้อผ้าซิ่นผืนที่คุณรินนุ่งอยู่นี่แหละเจ้า เปิ้นกอดผ้าซิ่นมายัดใส่มือพี่ บอกหื้อฮักษาหื้อดีๆ เอ็นดูเปิ้นนัก เปิ้นคงจะคิดถึงเจ้านายของเปิ้น เอาไว้เรามากันวันหลังด้วยกันก็ได้เจ้า คุณริน” วันดาราตัดบท
เรรินยังข้องใจ เธอคิดจะกลับมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้เพื่อสอบถามเรื่องราวจากยายคำเที่ยง
วันดาราพาเรรินมาส่งบัวเงินที่รถ สุริยวงศ์รู้สึกผิดรีบขอโทษเรรินที่ไม่มีโอกาสได้ดูแลเธอเลย วงพระจันทร์เข้ามากันท่าโทษว่า เรรินเป็นต้นเหตุทำให้บัวเงินเป็นโรคหัวใจเพราะเครียดที่เห็นหน้าเธอ
“พอซะทีวงพระจันทร์” สุริยวงศ์ปราม
“อย่าว่าแต่คุณย่าเลย ฉันเองเห็นหน้าหล่อนครั้งแรก ฉันก็ไม่ชอบขี้หน้าหล่อนเหมือนกัน รู้เอาไว้ซะด้วย ผู้หญิงชั้นต่ำ” วงพระจันทร์แถมท้ายด้วยวลีแสบๆ เป็นภาษาฝรั่งเศส
เรรินหน้าชาดิก วันดาราเข้ามาปลอบใจ รถของสุริยวงศ์เคลื่อนออกไป เรรินมองตามเห็นบัวเงินที่นั่งอยู่ตอนหน้ารถ จ้องมองเธออยู่
ส่วนคำเที่ยงเมื่อกลับเข้ามาในห้อง นางก็ก้มกราบรูปถ่ายบานหนึ่งในกรอบโบราณ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบรูปนั้นมากอดด้วยความรักเทิดทูนบูชาจนน้ำตาไหล
“เจ้ารินของบ่าว บ่าวกึ๊ดว่าชาตินี้จะบ่ได้หันหน้าทูนหัวของบ่าวเสียแล้วเวลาของบ่าวเหลือน้อยเต็มที่แล้ว” คำเที่ยงเหมือนนึกอะไรออก นางวางรูปนั้นลงแล้วกระถดตัวเองไปเปิดหีบไม้ หยิบบางสิ่งออกมาจากกล่องเครื่องประดับ
เป็นเวลาเดียวกับที่บัวเงินเข้าไปเรียกผีอีเม้ยให้ออกมารับใช้ เพราะรู้แล้วว่าเจ้านางมณีรินกลับมาเพื่อจะทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จ
“หม่อมเจ้าขา หม่อมบ่ต้องกั๋ว มันบ่มีทางยะสำเร็จดอก เม้ยจะขัดขวางมันทุกทาง อีหน้าไหนที่มันกล้าเป็นศัตรูของหม่อม เม้ยจะกำจัดมันให้สิ้นซาก” ผีอีเม้ยรับปาก
อึดใจต่อมา ผีอีเม้ยก็มาถึงห้องพักของคำเที่ยง เป็นเวลาเดียวกับที่คำเที่ยงเขียนจดหมายใจความสั้นๆจบพอดี นางบรรจงพับกระดาษแผ่นนั้น แล้วเอาไปวางไว้ใกล้ๆถุงผ้าสีเลือดหมูหน้ารูปถ่าย แล้วล้มตัวลงนอนแต่ยังไม่ทันได้หลับตาก็เห็นผีอีเม้ย ลอยตัวคว่ำหน้าอยู่กลางอากาศ
“อีเม้ย” คำเที่ยงลุกพรวดขึ้นนั่ง
“มึงยังจำกูได้ก๊า อีคำเที่ยง” ผีอีเม้ยโผล่มาเผชิญหน้าระยะเผาขน
“อีผีร้าย จะไดมึงบ่ยอมไปผุดไปเกิด มึงจงออกไปจากเรือนกูบัดเดี๋ยวนี้ ผีอย่างมึงทำแต่กรรมชั่วจนนรกขุมที่ลึกที่สุดก็บ่ฮับใช่ก๊า”
ผีอีเม้ยหัวเราะเสียงแหลมแทนคำตอบ คำเที่ยงรีบคลานหนีจะออกไปจากห้อง แต่มือสกปรกผีอีเม้ยจิกหัวไว้จนหงายหลัง มันขึ้นนั่งคร่อมทับอก จนคำเที่ยงหมดปัญญาดิ้นรน
“หมดเวลาของมึงแล้ว อีคำเที่ยงถ้ามึงอยากฮู้ว่านรกเป็นจะได มึงก็ลงไปดูเอาเองละกัน” ผีอีเม้ยเข้าบีบคอ คำเที่ยงดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก “มึงล่วงหน้าไปก่อนเน้อ ไปรอท่าอยู่ที่โน่น แล้วอีกไม่นานกูจะส่งนายของมึงตามลงไป” ผีอีเม้ยสะใจเมื่อเห็นคำเที่ยงแน่นิ่ง
เรรินนั่งเขียนบันทึกอยู่บนห้องพัก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ถูกถ่ายทอดเป็นตัวหนังสืออย่างพรั่งพรู เพราะเพิ่งพบเจอมาสดๆร้อนๆ และประโยคสุดท้ายที่เรรินเขียนลงในบันทึกก็คือ
“พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องไปหายายคำเที่ยง เพราะยังมีคำถามมากมายที่ฉันต้องการคำตอบ”
กลางดึกคืนนั้นผีอีเม้ยคลานสี่ขาทะลุฝาบ้านเข้ามาหมอบแทบเท้าบัวเงินรายงานว่ามันกำจัดคำเที่ยงเรียบร้อยแล้ว
“เหลือแต่อีมณีริน” บัวเงินนึกแค้น

“หม่อมบ่ต้องห่วง เม้ยจะควักหัวใจมันออกมาหื้อหม่อมเอง”

“มึงรนหาที่แต๊ๆอีมณีริน มึงตายไปชาติที่แล้วจะไดมึงบ่เข็ดขยาด บังอาจมาจองเวรกะกู...” บัวเงินยิ้มเหี้ยม

เช้าวันใหม่ เรรินรีบไปหายายคำเที่ยงที่คุ้มเจ้าหลวงแต่เช้า แต่ต้องตกใจเมื่อบัวซอนบอกว่า ยายตายแล้ว ศพอยู่ที่วัด เรรินจึงตามบัวซอนไปกราบศพยายคำเที่ยงพลางสอบถามสาเหตุการตาย ทำให้บัวซอนนึกขึ้นได้เอ่ยถามเรริน

“คุณชื่อรินใช่ก่อเจ้า ข้าเจ้าเจอจดหมายฉบับนึ่งแม่อุ๊ยเปิ้นคงเขียนเอาไว้เมื่อคืนเปิ้นเขียนบอกหื้อมอบสิ่งนี้หื้อ
คุณเจ้า” บัวซอนหันไปหยิบซองกระดาษมาส่งให้เรรินรับซองมางงๆ พลางถามกลับ “แล้วรู้ได้ยังไงคะ ว่าคุณยายแกหมายถึงฉัน”

“คุณผ่อในซองนั้นเองเต๊อะเจ้า” บัวซอนว่า

เรรินเปิดซองกระดาษดึงกรอบรูปโบราณที่ออกมาดู แล้วก็ถึงตะลึงขนลุกชันไปทั้งตัวเหมือนโลกนี้หยุดหมุนไปชั่วขณะ เพราะภาพในมือ เป็นภาพถ่ายของเจ้านางมณีริน ทรงเครื่องเจ้าหญิงเชียงตุงเต็มยศ เต็มตัว มุมภาพด้านล่างเขียนด้วยปากกาหมึกซึม ว่า “ให้คำเที่ยง ด้วยความรัก” จากมณีริน

เรรินแทบเป็นลมเพราะหน้าตาของเจ้านางมณีรินเหมือนเธอไม่มีผิดเพี้ยน

เช้าวันเดียวกัน สุริยวงศ์เข้ามาดูแลปรนนิบัติบัวเงินด้วยความเอาใจใส่ เขาเห็นว่าบัวเงินอาการดีขึ้นมากจึงคุยเรื่องยายคำเที่ยงที่เคยเป็นบ่าวเจ้านางมณีรินให้ฟังเพราะนางตายแล้วเมื่อคืนนี้

“พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นจะไดถึงได้หมดบุญ” บัวเงินแสร้งตกใจ

“ก็คงโรคชราน่ะครับคุณย่า เดี๋ยวผมว่าจะแวะไปงานศพเปิ้นสักหน่อยคุณย่าจะฝากปัจจัยไปทำบุญตุ๊เจ้าก่อครับ” สุริยวงศ์ถามบัวเงินพยักหน้า แล้วแอบยิ้มพอใจ

ขณะที่สุริยวงศ์เตรียมจะออกมาช่วยงานยายคำเที่ยง เรรินก็เดินเลี่ยงออกมานั่งที่ใต้ต้นไม้ เธอค่อยๆเปิดถุงกำมะหยี่ออกและหยิบสิ่งหนึ่งออกมา สิ่งนั้นคือปิ่นทองคำทำรูปช่อดอกปีบ มีทั้งดอกตูมและดอกบาน ขั้วดอกบอบบางจนทำให้ดอกไหวมีชีวิตชีวาเมื่อขยับ

เรรินตื่นตะลึงในความงามพิเศษของปิ่นชิ้นนี้ แล้วเธอก็นึกขึ้นได้รีบหยิบภาพถ่ายเจ้านางมณีรินขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่า ปิ่นที่เห็นในมือคืออันเดียวกับที่ปักอยู่ในมวยผมของเจ้านาง และเรรินก็รู้สึกว่า ยังมีบางสิ่งอยู่ในถุงอีกจึงล้วงเข้าไปและหยิบสิ่งนั้นออกมา มันคือกุญแจทองเหลืองโบราณ หัวกุญแจเป็นลายนูนตราราชวงศ์ล้านนา

“กุญแจอะไร” เรรินพลิกดูด้านหน้า ด้านหลังลูกกุญแจ ด้วยความแปลกใจ

ooooooo

No comments:

Post a Comment

My Blog List