บัวเงินสะบัดแส้หางกระเบนใส่ผีอีเม้ยด้วยความเดือดดาล ฐานที่มันทำงานพลาด มันโอดครวญว่าไม่อาจตามเรรินเข้าไปในคุ้มหลวงได้ เพราะผีอารักษ์ถีบมันกระเด็นออกมา
“กูจะต้องฮู้ให้ได้ว่ามันกลับเข้าไปอะหยังในนั้น” บัวเงิน เขวี้ยงหางกระเบนทิ้ง“เป็นไปได้ก่อเจ้า...หม่อม ที่เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นฮ้องหามัน” ผีอีเม้ยเดา
“ตายไปเมินเจ็ดสิบปีแล้วแม้แต่ในความฝันก็บ่เคยปิ๊กมาสู่กู ถ้าเจ้าอ้ายยังเฝ้ารอคอยมันอยู่ที่คุ้มเจ้าหลวงก็ใจดำกับกูเกินไปแล้ว อีเม้ย” บัวเงินน้ำตาร่วงเผาะทั้งเจ็บทั้งแค้น
ด้านเรริน เธอได้รู้จักเจ้าศิริวัฒนามากขึ้น เธอเห็นใจและอยากจะช่วยให้ท่านพ้นจากพันธนาการ
“พันธนาการมิได้เกิดขึ้นจากผู้อื่นจองจำเราเท่านั้น ความยึดมั่นในบางสิ่งบางอย่างก็เป็นพันธนาการที่ผูกรัดเราไว้จนไม่มีวันได้ไปที่ไหน แต่ต้องเฝ้ารอคอย จนกว่าจะถึงเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
“คุณรอคอยอะไรคะ ผ้าตุ๊ม ผืนนี้สำคัญต่อคุณมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ คุณเล่าให้ฉันฟังต่อได้ไหม” เรรินอ้อนวอน
เจ้าศิริวัฒนาไม่ตอบอะไร แต่ขยับเข้ามาหยิบดอกเก็ดถวา ยื่นให้เรริน สาวเจ้าเอื้อมมือมารับพลางมองตามสายตาเจ้าศิริวัฒนา เธอเห็นพุ่มดอกเก็ดถวาในมุมซ้ายของภาพสีน้ำมันผลิดอกค่อยๆบานออกขาวเต็มต้น
ดอกเก็ดถวาเหล่านั้นถูกอีเม้ยเก็บไปให้บัวเงินจัดพานถวายเจ้าศิริวัฒนาเพราะเป็นดอกไม้ที่ท่านโปรดมาก
แต่ยังไม่ทันจัดพานเสร็จ เจ้าศิริวัฒนาก็เดินเข้ามาขอดอกเก็ดถวาจากบัวเงิน บัวเงินเลือกดอกที่สวยที่สุดส่งให้อีเม้ยแอบกระซิบเจ้านาย “สงสัยว่าเจ้าเปิ้นจะเอาดอกเสียบ ผมหื้อหม่อมนะเจ้า”
“แต๊ก๊าอีเม้ย จะอั้นมึงเอาดอกในหัวกูออกก่อน”บัวเงินสั่ง
อีเม้ยรีบตะกุยเอาดอกไม้ที่เหน็บมวยผมออกให้บัวเงินเอียงคอปั้นท่าหวังให้ศิริวัฒนาเสียบดอกไม้ให้ แต่เจ้าศิริวัฒนากลับเดินถือดอกเก็ดถวาออกไปทันที
บัวเงินหน้าแตกอย่างแรง รีบชวนอีเม้ยตามเจ้าศิริวัฒนาไป
สองนายบ่าวก็ยืนตะลึง เมื่อเห็นเจ้าศิริวัฒนานำดอกเก็ดถวาไปเสียบมวยผมให้มณีรินที่เก็บดอกปีบอยู่กับคำเที่ยง แถมยังอ้อนขอกินข้าวเช้าด้วย บัวเงินสุดทนรีบเข้าไปกันท่าอ้างว่า เจ้าหลวงเรียกให้เจ้าศิริวัฒนาไปพบที่ห้องหนังสือ เจ้าศิริวัฒนาหลงกลเดินออกไป บัวเงินกับอีเม้ยได้ช่องว่ากระทบมณีรินแล้วพากันเดินจากไป
คำเที่ยงยันยืนงงไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ฟังมณีรินอธิบายก็ตบเข่าฉาด ด้วยความขัดเคือง “ป๊าด...จะไดเจ้านางน้อย บ่บอกพี่แต่แรก ว่าเปิ้นกระทบกระทั่งเจ้านางน้อยพี่จะได้ ตอกกลับหื้อหงายหลังไปเลย”
“จะไปโต้ตอบเปิ้นหื้อมันได้อะหยังขึ้นมาพี่คำเที่ยง”
“อ้าว อย่างน้อยเปิ้นก็ต้องฮู้เสียบ้างว่า ถึงเฮาจะพลัดบ้านพลัดเมืองมาแต่เฮาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกั๋นเจ้านางน้อยน่ะศักดิ์สูงกว่าเปิ้นด้วยซ้ำไป วันข้างหน้ายิ่งแล้วใหญ่ อย่างเก่งเปิ้นก้อเป็นได้แค่หม่อมของเจ้าเปิ้น คนที่จะได้ขึ้นเป็นพระชายา ก็คือเจ้านางน้อยผู้เดียว”
“ช่างเปิ้นเต๊อะ เปิ้นจะอู้จะได ก็ช่างเปิ้นต่อความยาวสาวความยืดบ่ได้ประโยชน์อะหยังมีคนฮักดีกว่ามีคนชัง แค่คนเดียวพี่คำเที่ยงร้อยคนจะได้ก็ อีกอย่าง เฮาบ่อยากแต่งงานถ้าเฮายกตำแหน่งชายาเจ้าศิริวัฒนาหื้อเปิ้นได้เฮาก็จะยกให้ บ่ได้กึ๊ดเสียดายเลย เฮาจะไปเดินเล่น” มณีรินตัดบทลุกออกไปทันที
คำเที่ยงรีบตาม แต่เมื่อเห็นเจ้านางน้อยยืนเหม่อมองไปที่แนวกำแพงเขตรั้วคุ้มเจ้าหลวง ก็ชวนกลับเข้าเรือน มณีรินเปรยว่า ชีวิตเธอเหมือนนักโทษไม่มีอิสระที่จะคิดจะตัดสินใจเอง และไม่มีโอกาสรู้เลยว่าโลกข้างนอกเป็นอย่างไร
“เจ้ารินคิดนัก บ่มีผู้ใดกักขังเจ้ารินซักหน่อย แต่เพราะเจ้ารินเป๋นเจ้ารินเป๋นเจ้านางน้อยแห่งเจียงตุงต่างหากทุกคนถึงต้องดูแลเจ้ารินอย่างดี นี่เจ้าทุกข์ใจเรื่องแต่งงานจนคิดมากขนาดนี้เชียวหรือ...โธ่ คิดเสียว่าทำเพื่อแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนเต๊อะ”
“ก็เพราะเฮาคิดอย่างนั้นน่ะสิปี้คำเที่ยงเฮาถึงได้ต้องทนทั้งที่เฮารู้สึกว่าเฮาบ่เกยได้เป็นตัวของตัวเองเลย แต่ก็อย่างตี้ปี้คำเที่ยงว่านั่นละนะอันตี้จริง ก่อบ่มีไผกักขังเฮาได้ เพราะเฮาก็เป๋นเฮา จะเป๋นเจ้านางมณีริน หรือมณีรินเฉยๆก่อ อยู่ตี้เฮาจะเลือกเป๋น...ขอบใจ๋เน้อพี่คำเที่ยงขอบใจ๋จ๊าดนัก” มณีรินนึกอะไรขึ้นได้ เธอรีบกลับไปที่เรือนเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นแม่หญิงชาวบ้านแอบหนีไปเที่ยวแอ่วเมืองเจียงใหม่
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ เจ้ารินคิดอะหยังพิเรนทร์แฮมแล้ว” คำเที่ยงร้อง พลางเร่งตามมณีรินไป
ooooooo
มณีรินเดินเที่ยวตลาดอย่างตื่นตาตื่นใจเห็นคำเที่ยงแหวกฝ่าผู้คนตามมาอย่างทุลักทุเล แล้วมณีรินก็มาหยุดที่ร้านขายหนังสือ เธอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาดูด้วยความสนใจพลางหันไปสั่งคำเที่ยงที่ตามมาช่วยจ่ายเงินให้ด้วย
คำเที่ยงตาโตเพราะไม่ได้นำเงินติดตัวมาเลย จึงสั่งให้พ่อค้าไปเก็บเงินที่คุ้มเจ้าหลวงเพราะเจ้านางมณีรินเป็นคู่หมั้นของเจ้าศิริวัฒนา แต่พ่อค้าไม่เชื่อและเข้าใจว่าทั้งสองเป็นหัวขโมยจึงไล่จับ มณีรินชักสนุกที่ได้ผจญภัย เธอวิ่งนำคำเที่ยงออกไป และได้พบเจ้าศิริวงศ์ที่แต่งตัวเป็นชาวบ้านมาแอ่วกาดด้วยเช่นกัน
เจ้าศิริวงศ์ยอมจ่ายค่าหนังสือให้มณีรินและแสดงน้ำใจด้วยพาไปเลี้ยงอาหาร เพราะเข้าใจทั้งคู่หิวจึงต้องขโมยของ จากนั้นก็นัดให้มาพบกันใหม่ในวันรุ่งขึ้น เพราะจะฝากให้เข้าทำงานในคุ้มคำจะได้ไม่ต้องมาเป็นขโมยอีก มณีรินซาบซึ้งและเริ่มประทับใจในตัวชายหนุ่ม
คำเที่ยงอดรนทนไม่ไหวรีบบอกฐานะที่แท้จริงของมณีรินให้ชายหนุ่มรู้แต่เขาไม่เชื่อ มณีรินจึงสะกิดห้ามแล้วแนะนำตัวเองใหม่ว่า เธอชื่ออีน้อย ส่วนพี่สาวชื่อคำเที่ยง
“อีน้อย พรุ่งนี้เจอกัน” เจ้าศิริวงศ์ย้ำ
“เฮาจะเอาเงินมาคืนตัวด้วย”
“บ่ต้อง เงินนั้นถ้ามันจะจ่วยหื้อหัวขโมยอย่างตั๋วกลับใจ๋เป็นคนดีได้เฮาจะถือว่ามันมีค่ามากกว่าบ่คิดจะอยากได้คืน” เจ้าศิริวงศ์เดินจากไป
“เฮาก็บ่อยากติดค้างใครเหมือนกัน” มณีรินตะโกนไล่หลัง
“ไปเต๊อะ เจ้าริน กลับกันเสียที” คำเที่ยงเข้ามาดึงมณีริน พลางต่อว่าที่เล่นสนุกจนเกิดเรื่อง และสั่งห้ามไม่ให้ ออกมาอีก แต่มณีรินไม่ฟัง เพราะวันรุ่งขึ้นเธอก็ลากคำเที่ยงมาแอ่วกาดด้วยกันอีกจนได้ และมีโอกาสได้ช่วยเจ้าศิริวงศ์จัดการกับพวกอันธพาลที่รังแกผู้หญิง แต่พวกอันธพาลไปตามพวกมาเพิ่มอีก เจ้าศิริวงศ์เห็นท่าไม่ดีรีบดึงมณีรินหนีไปด้วยกัน คำเที่ยงวิ่งตามไม่ทันจึงผลัดหลง
มณีรินได้อยู่กับเจ้าศิริวงศ์ตามลำพัง ทั้งไม่รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย มณีรินคืนเงินค่าหนังสือให้เจ้าศิริวงศ์ แต่เขาไม่ยอมรับจะเดินหนี มณีรินดึงแขนเสื้อไว้ ทั้งสองยื้อกันไปมาจนเสื้อขาด มณีรินตกใจรีบขอโทษอาสาจะเอาเสื้อไปซ่อมให้และนำมาคืนในวันพรุ่ง เพื่อจะได้มาพบกันอีก
เมื่อคำเที่ยงรู้เรื่องก็ไม่พอใจนัก นางขอนำเสื้อมาให้ชายหนุ่มเองพลางโกหกว่า มณีรินไม่สบายมาไม่ได้ แต่เจ้าศิริวงศ์ไม่เชื่อเดินตามคำเที่ยงมาจนได้พบมณีรินที่ยืนแอบมองอยู่ เจ้าศิริวงศ์ขอเลี้ยงอำลาสองสาวเพราะคงไม่ได้มาแอ่วที่กาดนี้อีกแล้ว มณีรินยอมตกลง
หลังกินขนมจีนน้ำเงี้ยวกันอิ่มแล้ว เจ้าศิริวงศ์ก็สั่งยาดองมาดื่มฉลองมิตรภาพกับสองสาว คำเที่ยงเห็นว่าไม่เหมาะที่มณีรินจะดื่มเหล้าจึงขอดื่มแทน แล้วนางก็ติดใจในรสชาติจึงสั่งมาดื่มเพิ่ม เมื่อเมาได้ที่คำเที่ยงก็เปิดเผยฐานะที่จริงของตนกับมณีริน เจ้าศิริวงศ์รีบรับมุกยกมือไหว้มณีรินแล้วแนะนำตัวเอง
“แล้วตัวรู้ก่อว่าเฮาเป็นใคร เฮาเป็นน้องชายเจ้าศิริวัฒนาชื่อเจ้าศิริวงศ์”
“ก๊า... งั้นเฮาก็ต้องไหว้ตัวสิ” คำเที่ยงไหว้เจ้าศิริวงศ์ แล้วหัวเราะอย่างสุดกลั้น เจ้าศิริวงศ์หัวเราะตามเพราะต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่า คนตรงหน้าตนตลกสิ้นดี
คำเที่ยงเมาหมดสภาพเดินต่อไม่ไหวทิ้งลงไปนั่งแผ่กับพื้น มณีรินถอนใจนึกห่วงพี่เลี้ยง เจ้าศิริวงศ์แนะนำว่า ให้นอนซักตื่นเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง
“ท่าทางพี่สาวตัว เปิ้นฮักตัวมากเลยนะ” เจ้าศิริวงศ์ชวนคุย
“พี่คำเที่ยง เปิ้นดูแลเฮามาแต่น้อย เวลาเฮาสุขก็สุขด้วยกัน เวลาทุกข์เปิ้นทุกกว่าเฮาเสียด้วยซ้ำ”
“ท่าทางอย่างตัว มีความทุกข์กะเขาด้วยหรือ ความทุกข์ของตัวคืออะไร”
“เฮา เหมือนเป็นนักโทษที่ถูกกักขัง เพราะเฮาถูกบังคับให้ต้องแต่งงาน เฮาบ่ได้ฮักผู้ชายคนนั้น การแต่งงานเป็นเรื่องของความฮัก บ่ฮักแล้วจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
“บางที แต่งงานอยู่กินกับผู้ชายคนนั้นแล้ว ตัวอาจจะฮักเปิ้นทีหลังก็ได้”
“ตัวพูดเหมือนพี่คำเที่ยง”
“ตัวกลัวความฮักมากกว่า ความฮักบ่ใช่เรื่องน่ากลัว ความฮักบ่เคยทำร้ายใคร ความฮักอาจจะมาช้า หรือมาเร็ว ก็คือความฮัก” เจ้าศิริวงศ์ส่งยิ้มอย่างจริงใจ
มณีรินมองผู้ชายตรงหน้าพร้อมกับตั้งคำถามในใจว่า เขาแตกฉานในเรื่องความฮักนักหรือไร
ooooooo
คำพูดของหนุ่มแปลกหน้าทำให้มณีรินต้องคิดหนัก เธอนึกเบื่อสิ่งรอบตัวจึงบอกกับคำเที่ยงว่าจะออกไปเก็บดอกกรรณิการ์ในสวนมาย้อมไหมเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
ระหว่างที่เก็บดอกกรรณิการ์อยู่นั้น มณีรินได้ยินเสียงพิณเปี๊ยะดังกังวานแว่วมาจึงเดินตามเสียงนั่นไป เธอพบชายสองคนเรียนสอนพิณเปี๊ยะกันอยู่ท้ายสวน แล้วเธอก็หลุดหัวเราะออกมาเมื่อชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้เล่นพิณเพี้ยนแต่ไม่ยอมรับ เจ้าศิริวงศ์หันขวับไปมอง เพราะเสียงหัวเราะนั้น เหมือนหัวเราะเยาะตน
“ผู้ใดหลบอยู่ตรงนั้น ทำลับๆล่อๆเป็นหัวขโมยก๊า” เจ้าศิริวงศ์หันมา มณีรินไม่ทันมองหน้าก็รีบหลบวูบซ่อนตัวเงียบ เจ้าศิริวงศ์ลุกขึ้นมา มณีรินเห็นท่าไม่ดี ถอยหลังหนีและโกยวิ่งออกไป
เจ้าศิริวงศ์เห็นพุ่มไม้ไหวๆ ก็ออกวิ่งไล่กวดไป สล่าพัน รีบตามเพราะหญิงผู้นั้นดูคลับคล้ายใครคนหนึ่ง
เมื่อเจ้าศิริวงศ์วิ่งมาทัน มณีรินตัดสินใจหันมาพุ่งชนเขาเพื่อจะหนีต่อแต่พลาดหกล้มลงไปนอนร้องโอดโอย
“เป็นจะได...หัวขโมย” เจ้าศิริวงศ์เดินยิ้มสะใจเข้ามา
“เฮาบ่ได้เป็นหัวขโมย” มณีรินตอกกลับแต่ยังก้มหน้านิ่ง
“บ่ได้เป็นหัวขโมย แล้วจะได ทำลับๆล่อๆ เรือนเจ้าอยู่ที่ใด บ่ฮู้ก๊าในนี้เป็นเขตคุ้มเจ้าหลวง เจ้านี่กล้าเกินแม่ญิง เจ้าคงบ่ฮู้ว่าเจ้ากำลังเอิ้นอยู่กับผู้ใด”
“สำคัญจะได เจ้าก็แต่ผู้ชายคนพาลรำบ่ดี โทษปี่โทษกลอง ดีดพิณเสียงเพี้ยน ก็โทษว่าขึ้นสายบ่ดี น่าหัวนัก” มณีรินหันกลับมาเผชิญหน้าศิริวงศ์ แล้วก็ตะลึงเมื่อเห็นชายหนุ่มเต็มตา
“คุณสุริยวงศ์ เป็นคุณจริงๆน่ะเหรอ” เรรินลืมตาขึ้นพอจะเข้าใจอะไรรางๆ แล้วหันมาบอกกับเจ้าศิริวัฒนา“หลวงพ่อที่วัด เมื่อเช้านี้ บอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระแสแห่งกรรม กรรมที่ผูกรัดทุกคนเอาไว้ได้พบพาน”
“อย่าแปลกใจเลย ผู้คนที่คุณได้พบพานล้วนผูกพันกันมาทั้งสิ้น” เจ้าศิริวัฒนาช่วยอธิบาย
เรรินอึ้งนึกถึงสุริยวงศ์ขึ้นมาทันที
ทางด้านสุริยวงศ์ เขากำลังจัดการกับธนินทร์ที่บุกเข้ามาทำร้ายถึงในร้าน เพราะไม่พอใจเรื่องเรริน พนักงานช่วยกันจับธนินทร์โยนออกไปนอกร้าน ทำให้ธนินทร์แค้นใจประกาศกร้าว
“มึงอย่ามาวุ่นวายกับคนของกูอีก เรรินมันเมียกูถ้ามึงคิดจะเป็นชู้กับเมียชาวบ้านกูเอามึงถึงตายแน่” ธนินทร์เดินฮึดฮัดออกไป
สุริยวงศ์มองตามอึ้งๆเพราะในที่สุดโจทก์ก็เจอโจทก์ตัวจริง
ส่วนบัวเงินแค้นมณีรินจัด “มึงเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับกูแต๊ๆอีมณีริน” บัวเงินจ้องมองลวดลายข้างหมอนนึกถึงเหตุการณ์ในวันเก่าๆ เมื่อครั้งพระชายามอบหมายให้เธอเป็นครูสอนทอผ้าแบบล้านนาให้มณีริน เธอจำต้องปั้นยิ้มใสซื่อรับคำสั่ง แต่พอลับหลังก็แอบกลั่นแกล้งมณีรินสารพัดหวังจะให้ถอดใจเลิกเรียน แต่มณีรินกลับฮึดสู้หมั่นฝึกฝนและพัฒนาฝีมือจนผ้าทอของเธอก็เป็นที่ยอมรับ
“กูบ่กึ๊ดเลยว่า กูสอนตะเข้หื้อว่ายน้ำแต๊ๆอีมณีริน”
ooooooo
เทียนบนหัวเสาถูกเป่าให้ดับลง เรรินเงยหน้าขึ้นจากผ้าที่ทอ รู้สึกปวดตามิใช่น้อย เจ้าศิริวัฒนาเอ่ยเตือนให้พักอย่าหักโหม
“ฉันคิดว่า ฉันพอจะจับลายที่เจ้านางมณีรินท่านทอทิ้งเอาไว้ได้แล้วละค่ะ ฉันอยากจะทอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทอได้ เพราะโอกาสที่ฉันจะเข้ามาในนี้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน”
“จะกี่ปีกี่ชาติ เจ้ารินก็เป็นคนมุ่งมั่นไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“อุปสรรคเป็นสิ่งที่เราต้องฝ่าฟันไปให้ได้ ความสำเร็จคือศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจนี่คะ”
“จิตใจเจ้าริน งดงามอย่างนี้นี่เอง”
“คุณเล่าให้ฉันฟังต่อได้ไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง”
“ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงอยากรู้เรื่องของศิริวงศ์ คุณหลับตาลงสิ ผมจะพาคุณไปดู” เจ้าศิริวัฒนาสั่งเรรินค่อยๆหลับตาลง เจ้าศิริวัฒนาเอื้อมมือมาตรงหน้าแล้วพาเธอกลับไปในอดีต
คำเที่ยงยกของว่างและน้ำชาเข้ามาให้มณีรินพลางบ่นว่า เจ้านางน้อยนั่งอ่านหนังสือไม่ขยับไปไหนมาตั้งแต่เช้าแล้ว มณีรินส่งยิ้มชวนให้คำเที่ยงอ่านหนังสือด้วยกันเพราะยิ่งอ่านยิ่งสนุก
“โอ้ย...งานการต้องยะ บะร่ำบะเหรอ พี่บ่เอาดอกเจ้านางน้อยนั่งอยู่นี่เน้อ พี่จะไปดูเปิ้นยะข้าวแกงในครัว”คำเที่ยงจะออกไปแต่แล้วต้องเบรกกึก เพราะเจ้าศิริวงศ์เดินเข้ามาหาระยะใกล้แล้ว นางทำตัวไม่ถูก ได้แต่ทรุดตัวลงพับเพียบกับพื้นพลางบุ้ยใบ้ให้มณีรินรู้ตัวว่า เจ้าศิริวงศ์มา มณีรินเห็นก็ลุกพรวดขึ้นต้อนรับ
“นั่งตามสบายเต๊อะ เฮาผ่านมาทางนี้พอดี นึกขึ้นได้ว่าวันก่อน เฮาทำหื้อเจ้านางมณีรินเจ็บขา อาการเป็นจะไดพ่อง” เจ้าศิริวงศ์เอ่ยถาม แต่มณีรินมัวอึ้งๆงงๆ
“ยังเจ็บกะร่องกะแร่งอยู่เจ้า เวลาเดินก็กะโผลก กะเผลก” คำเที่ยงตอบแทน
“แล้วกินยา ทายาอะหยังก่อ”
“ยากินบ่ได้กินเจ้า ทาแต่ยาทาของหมอเมืองจีน”
“เฮาถามนายของเจ้า จะไดโตตอบแทนนายโตหมด นายของเจ้าเจ็บปากโตยจนอู้บ่ ได้เหรอจะได” เจ้าศิริวงศ์ล้อ
“ใครบอกว่าเฮาเจ็บปาก บ่ได้เจ็บซักเตื้อ” มณีรินสะบัดงอนพองาม
ศิริวงศ์อมยิ้มพลางส่งลูกประคบที่ห่อผ้าขาวให้ “ทายาหมอจีน ยังบ่หาย ก็ลองลูกประคบเชียงใหม่นี่ดูเน้อ เฮาหื้อหมอหลวงจัดมาหื้อเจ้านางมณีรินโดยเฉพาะ”
มณีรินรับรู้น้ำใจเจ้าศิริวงศ์แต่ยังถือตน เจ้าศิริวงศ์จึงยื่นให้คำเที่ยงแทนพลางตัดพ้อ “โต รับลูกประคบนี่แทนนานโตนี่เต๊อะคำเที่ยง นายโตคงจะยังเคืองเฮาอยู่ เฮาอู้อะหยังโตย ก็บ่ฮู้โตยเฮา จะขอบใจเฮาสักคำ ก็บ่มี”
คำเที่ยงคลานเข้ามารับลูกประคบไปจากเจ้าศิริวงศ์พร้อมกับได้ยินมณีรินเอ่ยคำขอบใจ
เจ้าศิริวงศ์ยิ้มๆ หยิบหนังสือที่มณีรินอ่านขึ้นมาดูก่อนเปรย “ประวัติศาสตร์โลก อ่านแล้วปวดหัวจะต๋าย อ่านไปยะหยังน้อ”
“ผู้ใดกึ๊ดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ บ่มีประโยชน์อะหยัง ก็ช่าง เฮาอยากเห็นโลกนี้หื้อมากๆ เฮาบ่มีโอกาสเดินทางไกลๆ เฮาก็ต้องเดินทางไปกับหนังสือเล่มนี้แหละ”
“เรายังบ่ได้ว่าอะหยังสักเตื้อ คำเที่ยงเจ้าได้ยินก่อ หรือหูของเจ้านายโตบ่ดี”
มณีรินหันขวับไปเผชิญหน้าเจ้าศิริวงศ์ แต่ก็โกรธไม่ลง เพราะรอยยิ้มและแววตาที่แจ่มใส่ของเขา
“ศิริวงศ์ น้องมาอยู่แถวนี้ได้จะได” เจ้าศิริวัฒนาเดินเข้ามาทัก
“น้องเดินเล่นมาเรื่อยๆ นะครับเจ้าอ้าย”
“แล้วนี่รู้จักกันแล้วก๊า เจ้ารินนี่ศิริวงศ์ น้องชายพี่ ศิริวงศ์เปิ้นไปเรียนหนังสืออยู่พระนครแต่น้อย เพิ่งจะได้ปิ๊กมาเชียงใหม่ น้องเรียนวิชาอะหยังเป็นวิชาหลักนะ พี่เลือนๆ เสียแล้ว”
“ประวัติศาสตร์กับกฎหมายครับเจ้าอ้าย”
“เจ้านางมณีรินเปิ้นก็สนใจ๋วิชาประวัติศาสตร์เหมือนกัน คงจะได้คุยกันสนุกละ”
“น้องว่า เผลอๆพี่สะใภ้ของน้องจะรู้เรื่องประวัติศาสตร์ลึกซึ้งกว่าน้องนะสิครับเจ้าอ้าย”
มณีรินรู้สึกทะแม่งๆกับคำเรียกพี่สะใภ้ เพราะเป็นสถานภาพที่ไม่อยากได้รับ
ooooooo
“ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ” เจ้าศิริวัฒนาเตือนเรรินที่ยังตั้งหน้าตั้งตาทอผ้าอยู่
“ฉันว่าฉันยังทอผ้าต่อไหว ฉันอยากจะทอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เพราะคุณอยากรู้เรื่องในอดีต อย่าใจร้อนเกินไปนักเลย เพราะถ้าคุณได้รู้เรื่องราวมากเข้า คุณอาจจะล้มเลิกความคิดที่จะทอผ้าผืนนี้ให้เสร็จก็ได้”
“ทำไมคะ ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะล้มเลิกความตั้งใจของฉันกลางคัน”
“มนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายล้าง ความมหัศจรรย์มากมายหลายสิ่งในโลกนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะฝีมือมนุษย์ ในขณะเดียวกัน ความอัปยศน่าหดหู่ ก็บังเกิดขึ้นเพราะน้ำมือมนุษย์เช่นเดียวกัน เชื่อผมเถอะเจ้ารินผมทนรอคอยมาได้เจ็ดสิบปีกับแค่อีกสองอาทิตย์ตามที่คุณบอกผมไว้ว่าคุณจะทอผ้าให้เสร็จ ทำไมผมจะรอคอยไม่ได้ ราตรีสวัสดิ์”เจ้าศิริวัฒนายิ้มให้ก่อนจะหันหลังแล้วเดินหายเข้าไปในภาพเขียนสีน้ำมัน
เรรินยอมตัดใจ เธอเดินออกมาจากห้องทอผ้า อาศัยความมืดหลบไปที่ประตูเล็กใต้ซุ้มที่ใช้เป็นทางเข้าออกของคนงาน และทันทีที่เรรินออกมาด้านนอก เธอได้ยินเสียงหมาหอนรับต่อกันมาเป็นทอดๆ เพราะผีอีเม้ยรอเล่นงานอยู่ แต่มันก็ทำอะไรเรรินไม่ได้อีกตามเคยเพราะเธอมีพระเครื่องช่วยคุ้มครอง
ขณะที่เรรินเดินทางกลับที่พัก ภาพในอดีตครั้งที่เจ้าศิริวัฒนาเดินคุยกับเจ้าศิริวงศ์ออกมาจากเรือนพักมณีรินก็มาปรากฏขึ้น เจ้าศิริวงศ์เอ่ยถามพี่ชายว่า หลังจากอภิเษกแล้วจะจัดการอย่างไรเรื่องบัวเงิน เพราะดูท่ามณีรินเป็นหญิงสมัยใหม่คงรับไม่ได้เรื่องผู้ชายหลายเมีย แต่เจ้าศิริวัฒนายืนยันว่าไม่เป็นปัญหา เพราะเชื่อว่ามณีรินกับบัวเงินต้องเข้าใจ
“แต่พี่กึ๊ดผิด พี่กึ๊ดแต่ด้านของตัวเอง บ่เคยนึกถึงจิตใจของผู้อื่น พี่เป็นคนเห็นแก่ตัวมาก ใช่ก๊า” เจ้าศิริวัฒนาเอื้อมมือมาลูบผ้าบนกี่ “ถึงผ้าผืนนี้จะบ่มีวันทอเสร็จตุ๊ม พี่ก็บ่เสียใจ๋ เพราะเป็นบาปเป็นกรรมของพี่คนเดียว” ศิริวัฒนายืนเหงาวังเวงอยู่กับกี่ทอผ้า
เรรินกลับมาถึงรีสอร์ต ก็พบสุริยวงศ์มารออยู่ เธอแปลกใจที่เห็นหน้าของเขามีรอยเขียวช้ำจึงเอ่ยถาม
“หน้าคุณ ไปโดนอะไรมาอุบัติเหตุเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันทำให้ผมหวงคุณเป็นร้อยเท่า พันเท่า เพราะคู่หมั้นของคุณ เขาตามคุณมาถึงเชียงใหม่นี่แล้วครับ”
“ธนินทร์” เรรินใจหายวาบ
“เขาจะพาตัวคุณรินกลับไปให้ได้ ตอบผมได้ไหมครับคุณริน ว่าถึงเวลาที่คุณจะต้องกลับไปกับเขาแล้วและวาสนาของผมก็มีเพียงเท่านี้” สุริยวงศ์ตาแดงก่ำ
เรรินน้ำตาร่วงพรูโผเข้ากอดสุริยวงศ์แน่น เหมือนขอยึดไว้เป็นที่พึ่งสุดท้าย
สุริยวงศ์ค่อยๆยกมือขึ้นโอบกอดร่างเรรินไว้ เพราะร่างอันสั่นสะท้านและการร้องไห้ของเธอ เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า เธอต้องการความช่วยเหลือ
ooooooo
วันดาราทำแผลพลางบ่นไปพลาง เธอโกรธที่น้องชายโดนทำร้าย ครั้นได้ยินเรรินว่า คนที่ชกสุริยวงศ์ คือธนินทร์คู่หมั้นของเธอเองก็ถึงกับชะงัก รีบเปลี่ยนเรื่องขอให้สุริยวงศ์พักที่รีสอร์ต เพื่อความปลอดภัย แล้วลุกเดินออกไปเปิดห้องให้
“ขอบคุณครับคุณริน” สุริยวงศ์หันมาเอ่ยเพราะดีใจที่เธอไม่ปิดบังวันดารา
“ฉันหนีมาเชียงใหม่ครั้งนี้ก็เพราะเขา ก่อนหน้านี้ฉันคิดตลอดเวลาว่าฉันทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องทนกับผู้ชายอย่างเขาด้วย” เรรินระเบิดออกมา
เวลาเดียวกันนั้น ธนินทร์ก็ไประบายอารมณ์กับสรัญญาที่โรงแรม และยืนยันว่าจะไม่ยอมเสียเรรินให้สุริยวงศ์ อย่างเด็ดขาดเพราะเสียศักดิ์ศรี สรัญญาเหนื่อยใจเตือนให้ธนินทร์เบาเสียงลงเพราะกลัวข้างห้องด่า แต่กลับโดนตวาด
“เดี๋ยวกูตบคว่ำเลย ใครเป็นคนจ่ายเงิน ถ้าไม่ใช่กู”
สรัญญาหน้าหงิกเดินหนีไปมุมหนึ่ง ธนินทร์มองตามตาขวางเพราะยังขุ่นมัวไม่หายแค้น
ด้านสุริยวงศ์เมื่อได้ฟังเรื่องราวความเลวที่ธนินทร์ทำไว้กับเรรินจบลงก็อดถามไม่ได้
“แล้วผู้ใหญ่ ไม่รู้เรื่องนี้เลยเหรอครับ”
“เขาเป็นคนเล่นละครตบตาใครต่อใครได้แนบเนียนค่ะ ต่อหน้าอย่างหนึ่งแต่ลับหลังเหมือนเป็นอีกคนหนึ่ง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย คิดว่าเราเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก แต่ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าฉันต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน มาเชียงใหม่ครั้งนี้ ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าฉันจะไม่ยอมทนอีกต่อไป ฉันจะขอถอนหมั้นกับเขาค่ะ”
“คุณริน...ผมขอเป็นคนปกป้องคุณรินนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็ยินดี” สุริยวงศ์ให้สัญญา
แต่เรรินยังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอขอตัวกลับห้องพัก แล้วโทร.หาพรรณวรินทร์หวังจะได้กำลังใจจากแม่ แต่กลับโดนบังคับให้กลับกรุงเทพฯ เพื่อยุติปัญหา
“รินยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะแม่ เพราะรินมีธุระสำคัญต้องทำให้เสร็จ แต่แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ เรื่องของรินกับเขา จะไม่ทำให้แม่ต้องเสียหน้าแน่นอนค่ะ เท่านี้ก่อนนะคะแม่” เรรินวางสายแล้วหันไปจับปากกาเขียนบันทึกสิ่งที่ได้พบเจอในวันนี้ลงสมุดไดอารี่ แต่ยิ่งเขียนก็ยิ่งเครียดจนต้องหยิบยาแก้ไมเกรนมากิน
ระหว่างหยุดพักสายตา เรรินหยิบปิ่นทองคำรูปดอกปีบขึ้นมาดูพลางรำพึง “ฉันอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ขอให้ฉันได้รู้ได้เห็นด้วยเถอะ” ทันใดนั้น เสียงพิณเปี๊ยะก็กรีดกังวานขึ้น
ปิ่นทองคำรูปดอกปีบในมือเรรินกลับกลายเป็นดอกปีบสดในมือมณีริน เจ้านางน้อยนั่งร้องไห้อยู่ในสวน สักพักเจ้าศิริวงศ์ก็เดินเข้ามาทักจากทางด้านหลัง
“เจ้านางน้อย จะไดมานั่งอยู่คนเดียว ทุกทีต้องเห็นพี่เลี้ยงข้างโตตลอดเวลานี่นา”
มณีรินรีบซับนํ้าตาด้วยผ้าเช็ดหน้า ศิริวงศ์เห็นก็ชะงักรีบเอ่ยถามว่า ร้องไห้ทำไม มณีรินปดว่า ผงเข้าตา แต่ศิริวงศ์รู้ทัน เขาพูดดักคอจนมณีรินยอมสารภาพว่า เธอร้องไห้เพราะคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อเจ้าแม่เจ้า และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เธอไม่อยากแต่งงาน
“นอกจากพี่คำเที่ยงแล้ว โตเป็นคนเดียวเน้อที่ฮู้เรื่องนี้ โตคงกึ๊ดว่าเฮาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เพราะบ่มีแม่ญิงคนใด บ่อยากแต่งงานกับเจ้าอ้ายของโตดอกใช่ก๊า”
“บ่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดอะหยังดอกเจ้านางน้อย คนเฮาจะแต่งงานกั๋น ร่วมชีวิตกั๋น มันก็ควรจะมีความฮักเป็นจุดเริ่มต้น ถึงเจ้าอ้ายของเฮากับเจ้านางน้อยจะถูกหมั้นหมายกันเอาไว้แต่น้อยแล้ว แต่จะว่าไปต่างฝ่ายต่างก็ยังบ่ได้ฮู้จักนิสัยใจคอตีๆกันเลย เจ้านางน้อยทำใจหื้อสบายเต๊อะยังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงงานแต่งงาน เจ้าอ้ายของเฮาเปิ้นเป็นคนดีนักขนาด เฮาว่าเจ้านางน้อยจะฮักเจ้าอ้ายของเฮาได้บ่ยากดอก”
มณีรินมองเจ้าศิริวงศ์เต็มตา มิตรภาพก่อเกิดขึ้นแน่นแฟ้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง
“เฮาว่าเจ้านางน้อยเบื่อแล้วก็เครียด เพราะบ่ไดออกไปเปิดหูเปิดตา แอ่วเวียงเชียงใหม่ให้ม่วนมากกว่า”
“เฮาอยากออกไป แต่เฮาบ่ฮู้จะไปจะได”
“อยากไปแต๊ๆ ก็บ่ยากดอกเจ้านางน้อย” เจ้าศิริวงศ์อมยิ้ม
มณีรินไม่รอช้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือน เพื่อจะออกไปแอ่วกาดกับเจ้าศิริวงศ์ คำเที่ยงเห็นว่าไม่เหมาะสมรีบทัดทาน แต่สุดท้ายก็โดนมณีรินลากตัวออกไปด้วยกัน
ขณะที่เรรินจมดิ่งอยู่กับเรื่องราวในอดีต อีเม้ยก็ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดร้องเรียกให้บัวเงินช่วยมันด้วย
“กูจะช่วยมึงได้จะได อีเม้ย มึงมันโง่เง่าเอง เลิกฮ้องครวญครางเสียที กูชังเสียงไห้ของมึงนัก กูแน่ใจ๋ตั้งแต่แรกเห็นว่าอีมณีริน มันปิ๊กมาเพื่อควักดวงใจของกู...อีแม่ญิงแพศยามันกึ๊ดว่าถ้ามันได้หลานกูไปครอง มันจะเย้ยกูได้ มึงฝันไปเต๊อะ อีมณีริน มึงฝันไปเต๊อะ” บัวเงินเดินพล่านด้วยความคับแค้นใจ
ภาพในอดีตครั้งที่เธอแอบเห็นเจ้าศิริวงศ์พามณีรินออกไปแอ่วกาดผุดขึ้นมา
“หม่อมเจ้าขา นั่นมันเจ้าศิริวงศ์นี่เจ้าคะ เม้ยบ่ได้ตาฝาดใช่ก๊า” อีเม้ยตาวาว
“ถ้ามึงตาฝาด กูก็ตาฝาดเหมือนมึงน่ะแหละอีเม้ย”
“มันคงพากันหนีออกไปแอ่วเวียงนะเจ้าคะหม่อม อีพวกหูป่าตาเถื่อน มาแต่บ้านป่าเมืองไกลบ่เคยหันเวียงเชียงใหม่ น่าสมเพชแต๊ๆนะเจ้าคะหม่อม” อีเม้ยหัวเราะร่วน
“กูสมเพชความง่าวของมันมากกว่า อีเม้ย มันคงบ่ฮู้กฎระเบียบของคุ้มเจ้าหลวง มึงคอยดูเต๊อะมันปิ๊กมาเมื่อใดมันจะม่วนบ่ออก” บัวเงินยิ้มร้าย ชักชวนอีเม้ยเข้าเฝ้าพระชายาฟ้องเรื่องมณีรินแอบหนีไปแอ่วกาด แต่ต้องหน้าแตกเพราะพระชายากลับไม่ถือโทษเมื่อรู้ว่าเจ้าศิริวงศ์ไปด้วย
“เจ้าบ่ต้องห่วง ข้าบ่ดีเอง ลืมไปว่าเจ้านางน้อยเปิ้น
อยู่แต่ในคุ้ม ตั้งแต่มาจากเชียงตุงยังบ่ได้ผ่อเวียงของเฮาเลย เปิ้นคงจะเบื่อละ ศิริวงศ์อุตส่าห์เป็นธุระปะปังหื้อปิ๊กมาคุ้มข้าจะต้องขอบใจศิริวงศ์หน่อยแล้ว” ขาดคำพระชายา
บัวเงินก็นํ้าตาร่วงเผาะสะอื้นไห้ฟูมฟายว่า เธอน้อยใจเพราะเป็นเมียเจ้าศิริวัฒนามาก่อน แต่เป็นได้แค่เมียบ่าวเท่านั้น
“บัวเงิน...ข้าบ่มีทางเลือก ศิริวัฒนาก็บ่มีทางเลือก แล้วเจ้ากึ๊ดว่าอย่างใดจึงจะยุติธรรม”
“แค่จะสานไมตรีเมืองเชียงตุง จะใดบ่หื้อข้าเจ้าอภิเษกกับเจ้าพี่ ส่วนเจ้านางมณีรินก็หื้อเปิ้นอภิเษกกับเจ้าน้อยเปิ้นไป”
“ศิริวงศ์ยังเด็กเกินไป อีกอย่าง...การอภิเษกครั้งนี้หมายถึงความสัมพันธ์ของสองอาณาจักร วันข้างหน้าศิริวัฒนาจะต้องขึ้นเป็นเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ บ่ใช่ศิริวงศ์ เจ้านางมณีริน เปิ้นจึงมีค่าควรอภิเษกกับศิริวัฒนาเท่านั้น บัวเงิน”
“ทำไม ทำไมต้องเป็นเจ้าพี่ของข้าเจ้าด้วย แม่เจ้าหาทางช่วยข้าเจ้าบ่ได้ก๊า เอ็นดูข้าเจ้าเต๊อะ” บัวเงินคลานเข้ามากอดเท้าพระชายา
“ข้าจะยะอะหยังได้ เจ้าหลวงเปิ้นตัดสินใจจะอั้นไปแล้ว หักอกหักใจเสียเต๊อะบัวเงิน จงคิดถึงบ้านเมืองเอาไว้หื้อมากๆเฮาเกิดมาเป็นไพร่ฟ้าฝุ่นเมือง เมื่อมีโอกาสตอบแทนคุณแผ่นดินจงทำหื้อดีที่สุดเต๊อะ” พระชายาถอนใจ
บัวเงินกลับมานั่งฟูมฟายต่อที่ในเรือน อีเม้ยสงสารนายเป็นที่สุด มันเข้ามาปลอบใจพลางแนะนำให้บัวเงินมีลูกกับเจ้าศิริวัฒนา และถ้าเป็นลูกชายได้ก็ยิ่งดี
“อีง่าว...กูบ่ได้อยากมีลูกกับเปิ้น กูอยากเป็นพระชายาเปิ้น มึงยู่กับกูมาตั้งหลายปี๋ มึงบ่ฮู้ใจกูก๊า อีเม้ย”
“เม้ยฮู้เจ้าค่ะหม่อมเจ้าขา แต่ตราบใดที่งานอภิเษกยังบ่เกิดขึ้น ก็หมายความว่า โอกาสของหม่อมยังบ่มอดมดไป๋ บ่ใช่ก๊า เม้ยบ่อยากหันหม่อมของเม้ยมีความทุกข์ หม่อมไห้แล้วบ่งาม เฮายังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน หม่อมจะทุกข์ไปไยเจ้าหม่อมต้องยิ้มไว้เน้อ เพราะหม่อมของเม้ยงามที่สุด หัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เจียงใหม่ เจียงฮาย แป้ น่าน ยันอุตรดิตถ์ เมืองลับแล หม่อมของเม้ยงามกว่าผู้ใด งามที่สุดเจ้า” อีเม้ยเตือนสติ
บัวเงินได้คิดค่อยๆ ยิ้มออกเรียกความมั่นใจกลับคืนมา และในวันนี้บัวเงินก็ยังรู้สึกเหมือนวันนั้นในอดีต เธอผุดรอยยิ้มเย็นน่ากลัวเหมือนน้ำที่ลึกจนยากจะหยั่งออกมา พลางเอ่ยกับอีเม้ย
“แต๊อย่างมึงอู้ โอกาสของเฮายังบ่มอดมดไป๋ ต่อหื้อมันปิ๊กมาจองเวรกะกูกี่ชาติกี่ชาติกูก็จะขอเหยียบมันทิ้งจมดิน อย่างที่กูเคยเหยียบมันมาแล้ว”
“หม่อมจะมีบัญชาหื้อเม้ยยะอะหยัง หม่อมก็บัญชามาเต๊อะเจ้า” ผีอีเม้ยหมอบรออยู่ข้างกาย
ooooooo
เช้าวันใหม่ สุริยวงศ์เอ่ยถามเรรินที่นั่งทานอาหารอยู่ด้วยกันว่า เธอจะออกไปไหนบ้างจะได้ไปส่ง เรรินอึกอักเพราะภารกิจเดียวที่อยากไปทำคือทอผ้าให้เสร็จ
“วันนี้ที่วัดโมฬี เปิ้นจัดเป็นกาดมั่วถนนคนเดินเน้อสุริยะ น่าจะมีของขายเยอะอยู่” วันดาราแนะนำ
“สนใจไหมครับคุณรินไม่ซื้ออะไรแค่เดินดูข้าวของก็ม่วนแล้วครับ” สุริยวงศ์ชวน
เรรินตัดสินใจได้ไม่ยากเมื่อเห็นสายตาแจ่มใส เต็มไปด้วยความสนุกล่วงหน้าของเขา
ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึง กาดมั่วบริเวณลานวัด พ่อค้าแม่ค้าแต่งตัวร่วมสมัยนั่งขายของกันหน้าสลอน แม่ค้าคนหนึ่งชักชวนให้เรรินชิมขนมที่เพิ่งทำเสร็จ
“ลองชิมไหมครับ” สุริยวงศ์จิ้มขนมชิ้นเล็กขึ้นมาให้เรริน
“บ่ได้เน้อ เจ้านางน้อย อย่ากิ๋น...” เสียงคำเที่ยงโหวกเหวกมาแต่ไกล
เรรินชะงักหันไปมอง สิ่งที่เห็นในปัจจุบันค่อยๆ เปลี่ยนไป กลายเป็นภาพในอดีตภาพ เห็นคำเที่ยงวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาห้ามไม่ให้มณีรินชิมมะม่วงดองที่แม่ค้าส่งให้เพราะกลัวท้องเสียหรือไร
“ฮับมาจากมือแม่ค้าเปิ้นแล้ว จะคืนเปิ้นได้จะได
เปิ้นมองตาเขียวแล้วบ่หันก๊า ขืนเอิ้นว่ามะม่วงดองเปิ้นบ่ดี มีหวังเปิ้นด่ากาดแตกแน่” เจ้าศิริวงศ์ขู่
“แล้วข้าเจ้าจะยะจะได”
“คำเที่ยงน่ะแหละต้องเป็นคนชิม” เจ้าศิริวงศ์สั่ง
คำเที่ยงจำใจรับมะม่วงดองมาจากมณีรินมาใส่ปากตัวเอง แล้วพบว่าอร่อยดีเหมือนกันจึงขอซื้อ
ศิริวงศ์ล้อว่าไม่กลัวเสาะท้องหรือ
“จะเสาะก็คงเสาะบ่เมินดอกเจ้า” คำเที่ยงหัวเราะเก้อ
เมื่อได้มะม่วงดองสมใจแล้วคำเที่ยงก็จัดแจงกางร่มให้มณีรินเพราะแดดแรง แต่มณีรินไม่ชอบจึงเดินหนี
“เจ้านางน้อย จะไดย่างไวนัก รอพี่โตยพี่ตามบ่ทันเน้อ เดี๋ยวหลง”
“กาดน้อยๆ จะอี้ จะหลงกันได้จะได”
“บ่ฮู้ละ อย่างใดพี่ก็ต้องเฝ้าเจ้านางน้อยบ่หื้อคลาดสายตา” คำเที่ยงกันท่า
เจ้าศิริวงศ์ขำท่าทีของคำเที่ยง ขณะมณีรินชักระอาเพราะคำเที่ยงคอยห้ามโน่นนี่ทำให้หมดสนุก เจ้าศิริวงศ์จึงออกอุบายหลอกคำเที่ยงไปดูปาหี่ แล้วแอบพามณีรินเดินเที่ยวตามลำพัง
มณีรินตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่พบเจอ เจ้าศิริวงศ์เห็นมณีรินยิ้มได้ก็แกล้งล้อ
“เจ้านางน้อย หัวได้แล้วม่วนใจ๋ได้แล้วก๊า”
“ความสุขชั่วครู่ชั่วยามพอปิ๊กคืนคุ้มเจ้าหลวง เฮาก็ต้องปิ๊กคืนสู่ความเป็นจริง”
“ถ้าเจ้านางน้อยเปิดใจ๋จักน่อย เจ้านางน้อยจะหันว่าเจ้าอ้ายของเฮาเปิ้นเป็นคนดีนักขนาด เจ้านางน้อยจะฮักเจ้าอ้ายของเฮาได้บ่ยากดอก”
“เฮาบ่ได้อู้ว่าเปิ้นบ่ใช่คนดีซักเตื้อ”
“เจ้านางน้อยบ่อยากแต่งงานกับเจ้าอ้ายของเฮา เพราะเปิ้นมีบัวเงินเป็นหม่อมของเปิ้นอยู่แล้วใช่ก๊า”
“นั้นเป็นเหตุผลนึ่ง แม่ญิงทุกคนก็หวังหื้อคู่ชีวิตของตั๋วฮักเดียวใจ๋เดียวกันทั้งนั้น เฮาฮู้แทนใจ๋เอื้อยบัวเงินโตย เฮาเอ็นดูเอื้อยบัวเงินนัก เปิ้นก็คงทุกข์ใจ๋บ่ใช่น้อยที่เฮาเหมือนเป็นคนที่เข้ามาแทรกกลาง มาแย่งความฮักของเปิ้น”
“เฮาว่าบัวเงินต้องเข้าใจ๋ เป็นไพร่ฟ้าฝุ่นเมื่องก็ต้องเคารพธรรมเนียมประเพณี”
“จะไดเฮาก็ยังบ่อยากแต่งงาน เฮาว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก เฮาอยากหันโลกใบนี้หื้อเต็มตาเสียก่อน วันใดที่เฮาแต่งงานโลกของเฮาก็คงเหลือแคบเท่าเขตคุ้มเจ้าหลวงนั่นเอง” มณีรินดูหม่นหมอง
เจ้าศิริวงศ์มองมณีรินอย่างเห็นใจและเข้าใจยิ่งนัก
แล้วทันใดนั่นเอง วัวเทียมเกวียนสองตัวที่ตื่นตกใจจนคุมไม่อยู่ก็วิ่งฝุ่นตลบเข้ามาในงาน และเบื้องหน้าของมันคือร่างของมณีริน
“เจ้ารินระวัง...” คำเที่ยงตะโกนลั่น
ทันใดนั้นร่างเรรินในปัจจุบันล้มคะมำ เหมือนหงายหลังลงมาและสุริยวงศ์รับตัวเอาไว้ได้ทัน วงพระจันทร์พุ่งเข้ามา ด้วยความโกรธ
“อีสารเลว ไม่มีปัญญาหาผู้ชายของตัวเองแล้วรึไง ถึงได้มาแย่งของคนอื่นเขายังงี้” วงพระจันทร์จะตบซ้ำ แต่สุริยวงศ์เอาตัวเข้ากันเรรินและคว้าฝ่ามืออรหันต์ของวงพระจันทร์ เอาไว้ได้ทัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะวงพระจันทร์ ทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า”
“แค่ตบมันยังน้อยไป อีคนหน้าด้านอย่างมัน ต้องเจอหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“คุณริน...หลบไปก่อนครับ”
เรรินหน้าแดงเป็นปื้นทั้งเจ็บ ทั้งงงรีบเดินออกไป วงพระจันทร์ขู่ไล่หลังเรริน “ไปกลับกรุงเทพฯของแกไปเลย ขืนยังมาลอยหน้าลอยตาอยู่แถวนี้อีกอย่าหาว่าไม่เตือน”
สุริยวงศ์โกรธจัดผลักวงพระจันทร์ลงไปดิ้นพราดๆ ลงกับพื้นแล้วเดินหนีไป
วงพระจันทร์กรี๊ดสนั่นรีบกลับไปฟ้องบัวเงิน พร้อมแต่งเรื่องโยนความผิดไปให้เรรินอีกตามเคย บัวเงินนั่งฟังนิ่งนึกถึงเรื่องราวในครั้งก่อน เพราะเธอเองก็เคยแต่งเรื่องไปฟ้องเจ้าศิริวัฒนาว่า มณีรินแอบหนีไปนอกคุ้มหวังจะให้มณีรินโดนตำหนิ แต่เจ้าศิริวงศ์เข้ามาช่วยแก้ต่างให้
“อันที่จริงน่ะน้องเป็นคนออกปากชวนเจ้านางน้อยเปิ้นเอง เจ้าพี่น้องหันว่าเปิ้นคงจะกึ๊ดถึงบ้านถึงเมืองเปิ้น เพราะเปิ้นดูเหงานักขนาด”
“จะอั้นพี่ก็คงต้องขอบใจ๋เจ้านักนักที่เป็นธุระหื้อพี่อุตส่าห์ช่วยดูแลเจ้านางน้อยเปิ้นแทนพี่ พี่บ่ดีเองวันๆทำแต่งานบ่มีเวลาแม้แต่จะไปถามสารทุกข์สุขดิบเปิ้น”
“เจ้าพี่ก็ต้องจัดสรรเวลาใหม่เน้อ งานบางอย่างถ้าน้องจะช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าพี่ได้น้องยินดี อีกบ่กี่เดือนเจ้าพี่ก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกกับเปิ้นแล้ว น้องว่า เจ้าพี่น่าจะรีบสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับเปิ้นหื้อมากๆ เอ็นดูเปิ้น”
“น้องอุตส่าห์เตือนสติพี่ยินดีเน้อ ยินดีนักนักศิริวงศ์” เจ้าศิริวัฒนาพอใจ
บัวเงินก้มหน้านิ่งนึกแค้นใจที่ทำอะไรมณีรินไม่ได้
“แต่ไหนแต่ไรสุริยะเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย แต่ตั้งแต่อีนังผู้หญิงคนนี้มันเข้ามาวุ่นวายกับสุริยะ วงพระจันทร์ว่า สุริยะก็เปลี่ยนไปค่ะคุณย่า พูดจาก็หยาบคาย บางทียังขึ้นกูมึงกับวงพระจันทร์เลย พักหลังนี่เขาก็ไม่ค่อยมาหาคุณย่าด้วยใช่ไหมคะ วงพระจันทร์ว่าคุณย่าคงต้องจัดการอะไรบางอย่างแล้วละค่ะ ถ้าคุณย่าไม่อยากจะสูญเสียสุริยะไปให้อีนังผู้หญิงคนนั้นมันหัวเราะเยาะเอาได้”
วงพระจันทร์ยังคงพล่ามต่อ และเพิ่งสังเกตว่าบัวเงินเงียบและนิ่งผิดปกติ “คุณย่าคะ คุณย่า คุณย่าหลับรึเปล่าคะ” วงพระจันทร์คลานขยับมาหาบัวเงิน แล้วตะลึงงันเพราะคนที่บิดหันคอมาหากลับเป็นผีอีเม้ย
“เมื่อใดมึงจะทุบปากอี่ง่าว” ผีอีเม้ยตวาดใส่
วงพระจันทร์ช็อกตาค้างแข้งขาหมดเรี่ยวแรง เธอกระถดถอยหนีไปไกลลิบก่อนจะโกยอ้าวออกไป
ooooooo
ด้านเรริน เธอแอบเข้ามาในห้องทอผ้า เมื่อนั่งลงที่กี่ทอผ้าก็นึกเซ็งกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วตัดใจสลัดไล่ความรู้สึกขุ่นมัวนั้นทิ้ง เพื่อจะทอผ้าต่อ
“ผ้าผืนนี้เป็นผ้าแห่งความรัก คุณจะทอให้มันออกมาดีได้ยังไงในเมื่อจิตใจของคุณว้าวุ่นขนาดนี้” เจ้าศิริวัฒนาทัก
ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด เท่าที่ความสามารถของฉันจะมีค่ะเจ้า”
“เพราะคุณกระหายใคร่รู้เรื่องราวในอดีต”
“ในเมื่อฉันเริ่มเดินแล้วฉันก็อยากเห็นกับตาว่า ตรงสุดท้ายของปลายทางเดินมันคืออะไรกันแน่ค่ะ” เรรินมั่นใจ
เวลาเดียวกันนั้น ไหมแมกับเด็กพนักงานก็ช่วยกันยกแฟ้มเอกสารเก่าๆตั้งใหญ่เข้ามาเก็บในห้องที่อยู่ถัดไปจากห้องทอผ้า แล้วไหมแมก็เหลือบไปเห็นห้องทอผ้าไม่มีกุญแจคล้องอยู่ เธอถามลูกน้องว่าใครมาไขกุญแจห้องนั้นแต่ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ก็พี่ไหมแม เป็นคนเก็บฮักษากุญแจห้องนั้นเอง”
“เอ หรือเฮามาไขเอง แล้วลืมคล้องปิดก็บ่น่าเป็นไปได้ เปิดห้องนั้นมาเมินหลายวันมาแล้ว” ไหมแมตัดสินใจเดินนำพนักงานเข้าไปดูให้หายข้องใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าศิริวัฒนาพาเรรินผ่านทะลุประตูแห่งชาติภพพอดี
ไหมแมกับพวกเห็นหน้าภาพเขียนสีน้ำมันมีกลุ่มแสงสว่างสีเขียวทองเหมือนหิ่งห้อยนับล้านตัวที่รวมเป็นกลุ่มก้อนกันอยู่พุ่งทะยานหายเข้าไปในภาพเขียนสีน้ำมันนั้น
“ผีหลอก ช่วยด้วย ผีหลอก”
ทุกคนตาเหลือกค้างกับสิ่งที่เห็น ก่อนใส่หลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้ง เบียดกันออกจากประตู
ooooooo
สุริยวงศ์แวะมาเยี่ยมบัวเงิน เพราะเดาว่าวงพระจันทร์คงมาพูดใส่ไฟเรื่องเรรินไว้เยอะ และบัวเงินคงโกรธมาก แต่ผิดคาด เพราะบัวเงินกลับส่งยิ้มละไมถามหาเรรินอย่างเอ็นดู แถมอนุญาตให้สุริยวงศ์พาเธอมาดูผ้าโบราณที่เก็บไว้ได้
“หลานคบผู้ใด ย่าก็ว่าคนคนนั้นต้องดี แล้วเปิ้นมีไมตรีตอบโตก๊า สุริยะ” บัวเงินแสร้งถาม
“เปิ้นก็บ่ได้ชังบ่ได้ปฏิเสธผมดอกครับคุณย่า”
“ค่อยผ่อกันไปเน้อ ความฮักมันเป็นเรื่องห้ามกันบ่ได้ ย่าเข้าใจ๋ แต่จำไว้เน้อสุริยะใคร่หื้อเปิ้นฮัก ยากนักจักหวัง ใคร่หื้อเปิ้นจัง กำเดียวก็ได้” บัวเงินตบท้ายด้วยสำนวนคำกลอนล้านนา
“ครับคุณย่า” สุริยวงศ์สบายใจขึ้นมากจึงลากลับ แต่เมื่อมาถึงหน้าบันไดก็พบบ่าวคนที่โดนผีอีเม้ยเล่นงานนั่งก้มหน้าก้มตาร้องไห้ ยกมือไหว้ปลกๆด้วยความหวาดกลัว
สุริยวงศ์เรียกบ่าวเข้ามาถามไถ่ บ่าวเล่าว่า บัวเงินเลี้ยงผีและจะขอลาออก แต่สุริยวงศ์ไม่ยอมและไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผี พลางเดินลงไปที่รถเพื่อตามหาเรริน
ooooooo
ไทยรัฐออนไลน์
- โดย บทประพันธ์ พงศกร จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ยิ่งยศ ปัญญา
- 7 กันยายน 2554, 09:36 น.
No comments:
Post a Comment