Sunday, September 11, 2011

บทละคร รอยไหม ตอนที่ 6


เรรินกลับไปในอดีต เธอเห็นเหตุการณ์ตอนที่เจ้าหลวงกับพระชายาเรียกมณีรินเข้าไปถามสารทุกข์ สุขดิบ และมอบหมายให้บัวเงินเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลให้คำปรึกษากับมณีริน
“เป็นพระกรุณาพ่อเจ้า แม่เจ้าแต๊ๆเจ้า” มณีรินก้มกราบ
“บัวเงิน   ข้าฮู้ว่าทุกวันนี้งานของเจ้าก็นักหนาเต็มมืออยู่แล้ว ยังจะเพิ่มภาระหื้อเจ้าแหม” พระชายาหันมาทางบัวเงิน
อีเม้ยลุ้นให้เจ้านายปฏิเสธ แต่บัวเงินกลับปั้นยิ้มใสซื่อ “บัวเงินบ่กึ๊ดว่าเป็นภาระดอกเจ้า แม่เจ้างานการใดที่เป็นการแบ่งเบาภาระพ่อเจ้าแม่เจ้าได้ บัวเงินก็ยินดีฮับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้เจ้า เจ้านางน้อย บัวเงินก็ฮักเหมือนน้องสาวแต๊ๆของบัวเงิน มีอะหยังหื้อพี่ช่วยได้พี่ก็เต็มอ๊กเต็มใจ๋เน้อ เจ้านางน้อย” บัวเงินเอื้อมไปจับมือมณีรินทำท่ายินดีหนักหนา
อีเม้ยนั่งอึ้งค้างคาใจเป็นที่สุด มันจึงเอ่ยถามผู้เป็นนายเมื่อกลับมาถึงเรื่อง “หม่อมเจ้าขา จะไดหม่อมไปตกปากฮับคำแม่เจ้าเปิ้นจะไดหม่อมบ่ปฏิเสธเพราะจะปฏิเสธจริงๆ ก็มีวิธีถมเถไป เป็นพี่เลี้ยงมัน มันก็บ่ต่างจากไปเป็นขี้ข้ามันดอกเจ้าเม้ยขัดใจนักขนาด เม้ยบ่เข้าใจ๋ว่าจะไดหม่อมจึงยอมลดศักดิ์ศรีของหม่อมจะอี้”
“อีเม้ย จะไดมึงง่าวจะอี้ มึงบ่ฮู้กูแต๊ๆ ก๊า”
“เม้ยเกิดมาอาภัพแต๊ๆ”
“น้ำได้หนทาง ผีสางได้กำปาก กูจะแกล้งทำดีกับมันหื้อมันต๋ายใจ๋ สบช่องเมื่อใดกูจะเหยียบมันหื้อจมอยู่ใต้ฝ่าตีนกู มึงคอยผ่อดีๆ เน้ออีเม้ย” บัวเงินบอกแผนการ
“ป๊าด หม่อมของเม้ยนอกจากจะงามเหนือใครในหล้าโลกแล้ว สติปัญญายังหลักแหลมบ่มีผู้ใดเทียบได้อีกด้วยเจ้าค่ะ” อีเม้ยระริกระรี้เอาใจนาย
เวลาเดียวกันนั้น คำเที่ยงก็เอ่ยเตือนมณีรินให้ระวังตัว เพราะเกรงว่าจะโดนบัวเงินกลั่นแกล้ง
“พี่คำเที่ยงตี๋ตนไปก่อนไข้ เชื่อเฮาเต๊อะ ในเมื่อเฮาบ่เคยกึ๊ดฮ้ายกับผู้ใดเฮาจะต้องกัวอะหยังโตย”
“ระวังเน้อเจ้าริน บางเตื้อการเป็นคนดีเกินไปมันก็นำภัยฮ้ายมาสู่โตได้เน้อ แต่นี่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยเน้อ ผู้ใดมันกึ๊ดฮ้ายกับเจ้าริน พี่จะบ่ไว้มันดอกจะต้องแหลกกันไปข้างนึ่ง” คำเที่ยงมุ่งมั่นจนมณีรินอดขำไม่ได้
ooooooo
สุริยวงศ์มาตามหาเรรินที่พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณเก็ดถวา เพราะมั่นใจว่าเธอต้องมาที่นี่แน่ เขาได้ยินไหมแมกับลูกน้องจับกลุ่มคุยกันเรื่องผีในห้องทอผ้าจึงเข้าไปดู ก็พบย่ามของเรรินวางอยู่ที่โคนเสากี่ทอผ้า
“คุณริน” สุริยวงศ์หยิบย่ามขึ้นมาด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าเรรินเข้ามาในนี้ทำไม เขาค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสตุ๊ม
สีงาช้างจกดิ้นทองคำที่อยู่ในกี่
ขณะที่เวลาในอดีต มณีรินกำลังฝึกทอผ้าแบบล้านนาอยู่กับบัวเงินและอีเม้ย สองนายบ่าวพูดถากถางมณีรินเรื่องฝีมือทอผ้าของเธออยู่เป็นระยะๆ เพราะหวังให้อับอายและถอดใจ จนคำเที่ยงทนไม่ไหวลุกขึ้นปกป้องเจ้านางน้อยของตน
“บ่เป็นหยังดอกพี่คำเที่ยง ว่ากันตามจริงผ้าผืนนี้มันก็บ่งามอย่างที่เปิ้นฮู้น่ะแหละ มันเป็นผ้าจ๊กผืนแรกของเฮา ช่างมันเต๊อะเอาไว้ผืนหน้าเฮาจะตั้งอกตั้งใจหื้อมากกว่านี้” มณีรินรีบออกตัว
“ยังกึ๊ดจะทอผืนหน้าแหมก๊า เจ้านางมณีรินจะไหวก๊า ไปทำยะอย่างอื่นเต๊อะ ถ้ากึ๊ดจะเอาฮักเอาใจ๋แม่แจ้วเปิ้น บ่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งอิดเปล่าๆ” บัวเงินเดินหัวเราะออกไปตามด้วยอีเม้ย
“เจ้ารินจะไดบ่ตอกกลับเปิ้นไปบ้าง ปล่อยหื้อเปิ้นค่วนว่าเฮาฝ่ายเดียว” คำเที่ยงทำฮึดฮัด
“ช่างเปิ้นเต๊อะ เฮาถือว่าเปิ้นเป็นครู เฮาเปิ้นติก็เพราะเปิ้นคงอยากแม่หื้อเฮาทอผ้าได้งามๆ เฮาเป็นศิษย์เปิ้น เฮาจะโกรธเปิ้นได้จะได พี่คำเที่ยง”
“โอ๊ย เจ้าริน จะไดถึงเป็นคนดีจะอี๊น้อ” คำเที่ยงแอบเหน็บ
ooooooo
ประเพณีตานก๋วยสลากมาถึง บัวเงินกับบริวารช่วยกันแต่งก๋วยสลากและเตรียมห่ออาหารของแห้งเตรียมจัดใส่ก๋วยสลากตามประเพณี จู่ๆอีเม้ยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงานว่า เจ้าศิริวัฒนาลงจากคุ้มมาแล้ว บัวเงินเข้าใจว่า เจ้าจะมาช่วยตนแต่งก๋วยสลากอย่างเช่นทุกปีก็ร้องสั่งบ่าวไพร่ให้ช่วยกันเก็บกวาดเรือนเพื่อรอต้อนรับ แต่ต้องหน้าแตกเมื่ออีเม้ยบอกต่อ
“เปิ้นบ่มาแล้วเจ้า เปิ้นเลี้ยวไปทางเฮือนนั่น มันกำลังแต่งก๋วยสลากเหมือนกั๋น แต่หม่อมเจ้าขา ก๋วยสลากของมันใหญ่กว่าสูงกว่าของหม่อมอีกเจ้าค่ะ”
“อีมณีริน มึงกึ๊ดจะแข่งบุญแข่งบารมีกับกูก๊า แล้วเจ้าพี่ของกูว่าจะได”
“เจ้าศิริวัฒนาหน้าบาน ยิ้มบ่ยอมหุบแล้วก็เจ้าไปช่วยมันแต่งก๋วยสลากโต๊ยเจ้าค่ะหม่อม” อีเม้ยฟ้อง
บัวเงินตาวาวรีบไปเรือนมณีริน จึงเห็นเจ้าศิริวัฒนากับเจ้าศิริวงศ์กำลังช่วยมณีรินตกแต่งก๋วยสลาก แล้วเจ้าศิริวัฒนาก็แอบส่งสายตาหวานซึ้งให้มณีริน และจังหวะหนึ่งมือของทั้งคู่ชนกันโดยบังเอิญ บัวเงินสุดทนพุ่งเข้าไปหาเจ้าศิริวัฒนา
“เจ้าพี่เจ้า” บัวเงินส่งเสียงหวาน
“บัวเงิน เจ้ามาแต่เมื่อใด มามาช่วยกันจัดก๋วยสลากเจ้ารินเปิ้นกัน” เจ้าศิริวัฒนาชวน
“แหม ก๋วยสลากเจ้านางมณีรินงามแต๊ๆ ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี ก๋วยสลากของน้องสู้บ่ได้เลย” บัวเงินแขวะ
“ใหญ่เล็กบ่สำคัญดอกเอื้อย อยู่ที่ศรัทธาตามอัตภาพของเฮามากกว่า” เจ้าศิริวงศ์ดักคอ
“ก็เจ้านางมณีรินเปิ้นบารมีนักขนาด ก๋วยสลากของเปิ้นจึงงดงามจะอี๊ อีเม้ยเอ๊ยมึงผ่อเอาไว้เน้อ แข่งอะหยังก็แข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งบารมีนี่มันแข่งกันบ่ได้ดอก” บัวเงินหันมาหาอีเม้ย
“เจ้าค่ะหม่อม เม้ยจะจำใส่กะลาหัวไว้เจ้าค่ะ” อีเม้ยรับลูก
“เฮาว่าบุญกุศลเกิดขึ้นได้ทุกเวลา คิดดี ทำดี ก็เป็นบุญกุศลแล้วก๋วยสลากต้นนี้ เฮาตั้งใจ๋นัก หื้อพระศาสนาสืบทอดไปนานแสนนาน บ่ได้หวังอะหยังมากไปกว่านั้น” มณีรินเอ่ยบ้าง
บัวเงินชะงักเข้าใจว่ามณีรินแอบด่า รีบสวนกลับ “สาธุ เจ้านางมณีรินกึ๊ดดี ทำดี จะอี้บุญกุศลถึงหนุนสิ่งหื้อเปิ้นงามนักงามหนา แต่เชียงตุงจนมาถึงเชียงใหม่นี่เลยมึงหันก่ออีเม้ย” บัวเงินถึงเนื้อถึงตัวมณีรินทำเหมือนรักใคร่เอ็นดูนักหนา
คำเที่ยงคิ้วขมวดเป็นเลขแปดงงกับท่าทางของบัวเงิน ขณะที่เจ้าศิริวัฒนายิ้มพอใจที่เมียหลวง เมียน้อยดูเข้ากันได้ ผิดกับเจ้าศิริวงศ์ที่รับรู้ได้ถึงความอึดอัดของมณีริน
ooooooo
วันต่อมา เจ้าหลวงและพระชายามอบหมายให้ลูกชายทั้งสองเป็นตัวแทนไปร่วมพิธีตานก๋วยสลากที่วัดและต้องเดินทางด้วยขบวนเรือตามประเพณี มณีรินตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุดที่ได้เห็นริ้วขบวนแห่อันสวยงาม ผิดกับบัวเงินที่นั่งหน้าเครียดคิดแผนร้าย
หลังพิธีถวายต้นก๋วยสลากผ่านพ้นไป มณีรินก็ชวนคำเที่ยงกลับไปที่เรือเพื่อจะนำเงินมาทำบุญเพิ่ม บัวเงินสบโอกาส อาสาไปเป็นเพื่อนมณีรินเอง แล้วให้อีเม้ยคอยกันคำเที่ยงไว้และ เมื่อมณีรินเดินลงไปที่สะพานไม้ชั่วคราวที่ใช้ทอดจากตลิ่งลงไปหาเรือที่จอดลอยลำอยู่ บัวเงินก็ขย่มไม้หวังแกล้งมณีรินให้ตกน้ำ ขายขี้หน้าเล่น คำเที่ยงที่อยู่บนฝั่งเห็นท่าไม่ดีตะโกนให้เจ้านางน้อยระวังตัว อีเม้ยสะใจรีบลงไปช่วยบัวเงินขย่มสะพานอีกคน
มณีรินเสียหลักจะตกน้ำเธอหันมาดึงแขนบัวเงินเป็นหลักยึด แต่บัวเงินสะบัดแขนออก มณีรินเสียหลักตกน้ำทันที บัวเงินสะใจ คำเที่ยงกรี๊ดลั่นร้องเรียกให้คนช่วยด้วย เพราะมณีรินว่ายน้ำไม่เป็น พนักงานในเรือจะลงไปช่วยมณีรินแต่อีเม้ยร้องขู่
“พวกมึง บ่ ฮู้ก๊า ผู้ใดแต่ะเนื้อต้องตัวเจ้านายฝ่ายใน โทษของพวกมันคือตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร พวกมึงอยากตายก๊า” พนักงานเรือชะงัก แล้วหนึ่งในนั้นก็วิ่งขึ้นฝั่งไปรายงานเจ้าศิริวงศ์ที่เดินคุยอยู่กับสล่าพัน
เจ้าศิริวงศ์วิ่งไปที่ท่าน้ำแล้วโดดลงไปช่วยมณีรินที่กำลังจะขาดใจขึ้นมา บัวเงินกับอีเม้ยเห็นดังนั้นก็รีบพลิกสถานการณ์ร้องเรียกให้คนลงไปช่วยมณีรินด้วย พลางร้องห่มร้องไห้ เมื่อเจ้าศิริวงศ์อุ้มมณีรินที่หน้าซีดเหมือนคนตายขึ้นมาบนฝั่ง
อีเม้ยกระซิบบอกเจ้านาย“มันตายเสียได้ก็ดี บ่ใช่ก๊า หม่อมเจ้าขา หม่อมจะได้หมดเสี้ยนหนาม”
บัวเงินตาวาวเห็นสัจธรรมข้อนี้บรรเจิดขึ้น ขณะที่เจ้าศิริวงศ์พยายามปฐมพยาบาล ไล่น้ำออกจากตัวมณีรินพลางร้องเรียก “เจ้านางน้อย เจ้านางน้อย ปิ๊กมาเต๊อะ ปิ๊กมา” เจ้าศิริวงศ์ ใช้ความพยายามสุดกำลัง เอาชีวิตมณีรินคืนมาด้วยการปั๊มหัวใจ
คำเที่ยงและบริวารจากเชียงตุงร้องไห้ระงม  เจ้าศิริวัฒนาที่เพิ่งทราบเรื่องวิ่งเข้ามา
“พี่บอกแล้วหื้อเดินดีๆก็บ่ฟังพี่ ถุงไถ้ใบเดี่ยวหื้อบ่าวมันไปหยิบหื้อก็ได้ บ่น่าเลย เจ้านางมณีรินเอาชีวิตมาทิ้งไว้สายนํ้าปิงแต๊ๆ เอ็นดูนัก...เจ้านางมณีรินของพี่” บัวเงินทำเป็นปล่อยโฮแล้วต้องชะงักกึก เพราะมณีรินเริ่มรู้สึกตัว
เจ้าศิริวัฒนาเข้าประคองมณีรินให้ลุกขึ้นนั่ง มณีรินจึงเข้าใจว่า เจ้าศิริวัฒนาคือผู้ที่ช่วยเธอเอาไว้ เพราะไม่เห็นเจ้าศิริวงศ์ที่หมดเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงนอนอยู่ด้านหลังพี่ชาย
สล่าพันกลับไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เจ้าหลวงและพระชายาฟัง ทั้งสองเป็นห่วงมณีรินมากจึงมาเยี่ยมที่เรือน ทำเอาบัวเงินใจคอไม่ดี เพราะกลัวมณีรินจะฟ้องว่าโดนเธอกลั่นแกล้ง อีเม้ยเข้ามาปลอบใจผู้เป็นนายอาสารับผิดให้เอง บัวเงินซาบซึ้งใจ ผิดกับคำเที่ยงอึดอัดใจเป็นที่สุด เพราะมณีรินไม่ยอมบอกความจริงกับเจ้าหลวงและพระชายา แต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ไม่ระวัง
เมื่อเจ้าหลวงกับพระชายากลับไปแล้ว อีเม้ยกับพวกก็แอบมาสอดแนมที่เรือนมณีริน จึงถูกคำเที่ยงกับบริวารรุมเล่นงาน ร้อนถึงเจ้าศิริวัฒนาต้องออกมาจัดการ
พอดีเจ้าศิริวงศ์ก็แวะมาเยี่ยมมณีรินที่เรือน มณีรินตัดพ้อที่ชายหนุ่มที่เพิ่งจะมาให้เธอเห็น เพราะอยากจะขอบคุณที่ช่วยชีวิตเธอไว้ เพราะได้รู้จากคำเที่ยงว่า คนที่ช่วยเธอคือเจ้าศิริวงศ์ไม่ใช่เจ้าศิริวัฒนา
“นาทีนั้นบ่มีอะหยังจะสำคัญเท่าชีวิตของเจ้านางน้อยดอก ทางใดที่เฮาจะพาเจ้านางน้อยปิ๊กมาได้ เฮาต้องยะ เฮาต้องดูแลพี่สะใภ้ของเฮา เพื่อเจ้าอ้ายของเฮา”
“โตฮักเจ้าอ้ายของโตแต๊น้อ”
“วันข้างหน้า เจ้าอ้ายของเฮาจะต้องขึ้นเป็นเจ้าหลวงแทน พ่อเจ้า จะต้องยะงานหนักเพื่อแผ่นดิน เฮาถูกสอนมาแต่ละอ่อนจำความได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเฮาต้องทำเพื่อเจ้าอ้ายของเฮาก่อน”
“ทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของเฮาเอง” เจ้าศิริวงศ์มองมณีรินด้วยความรู้สึกเจ็บปวดจึงรีบตัดบท “เจ้านางน้อยพักผ่อนหื้อมากๆเน้อ จะได้แข็งแรงโวยๆ เจ้าอ้ายเปิ้นจะได้สบายใจ”
มณีรินน้อยใจขยับลุกขึ้น แต่เซเพราะเลือดสูบฉีดเลี้ยงสมองไม่ทัน เหมือนจะหน้ามืด เจ้าศิริวงศ์คว้าแขนมณีรินเอาไว้ได้ทัน มณีรินหันกลับมาสบตากับชายหนุ่มและเห็นถึงความรู้สึกบางอย่างในสายตาคู่นั้น
“เจ้านางน้อย...เป็นจะไดพ่อง...” เจ้าศิริวงศ์ร้องถาม แต่มณีรินกลับได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกให้เธอกลับไป
“แม่...แม่...” มณีรินเหลียวหา แล้วหมดสติ
   

ooooooo
“เรริน...กลับมาเสียทีเถอะลูก กลับมาได้แล้ว ลูกรู้ไหมว่าลูกทำให้แม่เสียใจขนาดไหนเรริน...เร-ริน” เสียงพรรณวรินทร์ร้องเรียกอยู่ที่ปลายอุโมงค์ด้านหนึ่ง ทำให้เรรินสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้น
“แม่” เรรินได้สติคืนมา และพบว่าตัวเองอยู่ภายในห้องทอผ้า แต่ทุกอย่างรอบตัวมืดมนมีเพียงแสงจันทร์สาดเข้ามาทางช่องแสงเบื้องบน เธอมองไปที่ภาพเขียนสีน้ำมันพลางเรียกหาเจ้าศิริวัฒนา แต่ทุกอย่างเงียบสนิท
เรรินตัดใจเดินออกจากห้องและใช้เส้นทางเดิมกลับออกไป แล้วเธอก็สะดุ้ง เพราะจู่ๆมือข้างหนึ่งก็ถูกคว้าไว้ เธอหันกลับมาเห็นสุริยวงศ์ก็ยิ่งตกใจ เพราะสายตาที่เขามองเธอเต็มไปด้วยคำถาม
“ถ้าผมทำให้คุณตกใจ ผมขอโทษ” สุริยวงศ์เอ่ยพลางพาเรรินมาที่รถ
“คุณมาทำอะไรแถวนี้คะ” เรรินถามบ้าง
“ผมน่าจะเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่า คุณเข้าไปทำอะไรในคุ้มเจ้าหลวง ในห้องใต้ดินนั่น” สุริยวงศ์จ้องเรรินนิ่ง แต่เธอไม่มีคำตอบให้เพราะตกใจที่เขารู้เรื่องนี้ “คุณปฏิเสธไม่ได้หรอก เพราะผมเห็นกับตา กระเป๋าคุณใบนี้มันวางอยู่ในห้องใต้ดิน คุณเข้าไปทำอะไรกันแน่ คุณริน อย่าบอกนะว่า คุณมางานทอผ้าจนแอบเข้าไปทอผ้าผืนที่ทอไม่เสร็จนั่น”
“ก็ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะคะ”
“ผมไม่เชื่อคุณหรอก คุณริน”
“ฉันบอกความจริงคุณแล้ว คุณไม่เชื่อก็ตามใจคุณ”
“คุณบุกรุกสถานที่ส่วนบุคคลในยามวิกาล คุณก็รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นความผิด”
“จะจับฉันส่งตำรวจเดี๋ยวนี้เลยก็ได้นี่ เอาเลยสิคะ จับเลย” เรรินน้ำตาร่วง
สุริยวงศ์ได้สติชวนเรรินกลับไปพักผ่อน ทั้งสองนั่งเงียบมาตลอดทางจนกระทั่งถึงหน้ารีสอร์ต สุริยวงศ์จึงหันมาเอ่ย “ยังไงผมก็จะรอฟังเหตุผลที่ดีกว่านี้จากคุณริน คุณรินพร้อมจะบอกผมเมื่อไร ก็แล้วแต่คุณริน ผมรอได้เสมอครับ”สุริยวงศ์ขยับจะเปิดประตูรถ แต่ต้องชะงัก
“เรื่องบางเรื่องมันเป็นความจริงที่อยู่เหนือความจริง ฉันพูดไปคุณอาจจะไม่เชื่อแถมยังจะมองฉันเป็นตัวประหลาดด้วยซ้ำไป” เรรินเปิดประตูรถและลงจากรถไปเอง
สุริยวงศ์ตามลงมา แต่วันดาราวิ่งหน้าตื่นออกมาจากด้านในสั่งให้สุริยวงศ์พาเรรินไปที่อื่นก่อน สุริยวงศ์และเรรินเป็นงง แต่เมื่อเห็นธนินทร์ที่เมาแอ้ก้าวตามวันดาราออกมาก็เข้าใจ
“เปิ้นมาถามหาคุณรินตั้งแต่เย็นแล้ว พี่ไล่ยังไงเปิ้นก็บ่ไป กำลังจะเรียกตำรวจอยู่พอดี” วันดาราฟ้อง
“เรื่องของผัวเมีย ตำรวจไม่เกี่ยวโว้ย เรียกมาเลย มึงเรียกมาเลย กูไม่กลัวกูมาตามเมียกูกลับกรุงเทพฯโว้ย” ธนินทร์โวยวาย
“อย่ามาทำหยาบคายแถวนี้นะธนินทร์ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ ถ้าฉันจะกลับกรุงเทพฯ ฉันจะกลับของฉันเองแล้วก็เตรียมตัวเอาไว้ด้วย ฉันจะถอนหมั้นกับคุณแน่”
“อีเรริน มึงกลัวเหรอ มึงไม่รู้จักคนอย่างกูซะแล้ว” ธนินทร์ปราดเข้ามาจะฉุดดึงเรริน
สุริยวงศ์เข้ากันไว้ “อย่ามาแตะต้องตัวคุณริน เมาก็กลับไปนอนซะ”
“มึงไม่ต้องมาทำเป็นพระเอก มึงมันหน้าตัวเมีย แอบเป็นชู้กับเมียกู มึงไม่รู้หรอกว่า อี่นี่มันร่านขนาดไหน มันไม่ได้มั่วกับมึงคนเดียวหรอกโว้ย กูจะบอกให้” ธนินทร์พูดจบก็ถูกสุริยวงศ์ถวายหมัดเข้าเต็มหน้า และตามประเคนอีกชุดใหญ่
ธนินทร์ล้มคว่ำไม่เป็นท่า เรรินเบือนหน้าหนีความทารุณ
“พอเต๊อะ สุริยะพอแล้ว” วันดาราเข้ามาดึงน้องชาย
“มันดูถูกคุณริน ผมยอมบ่ได้ดอก” สุริยวงศ์อ้างแล้วหันไปตะคอกใส่ธนินทร์ “มึงน่ะแหละไสหัวออกไปจากที่นี่ถ้ามึง ยังคิดจะวอแวกับคุณรินอีกมึงเองน่ะแหละจะไม่ได้กลับกรุงเทพฯ”
เรรินไม่อาจทนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปได้เดินผ่านธนินทร์กลับเข้าข้างใน
“มึงระวังตัวเอาไว้ให้ดี อีริน มึงคิดว่าเรื่องจะจบง่ายๆ ก็ฝันไปเหอะ” ธนินทร์ยังพล่ามเป็นหมาบ้าน สุริยวงศ์สุดทนคว้าคอธนินทร์ลากออกไป
ooooooo
เมื่อจัดการกับธนินทร์ได้แล้ว สุริยวงศ์ก็เข้ามาคุยกับวันดาราเรื่องเรรินที่แอบเข้าไปในห้องทอผ้าและไม่ยอมบอกว่าเข้าไปในนั้นทำไม
“แล้วเครื่องหมายคำถามพวกนี้มันทำหื้อความรู้สึกดีๆ ที่โตมีต่อคุณรินมันลดน้อย ถอยลงไปก่อ”
“ผมบ่ฮู้ครับ”
“ทุกคนมีโลกส่วนตั๋วกันทั้งนั้นเน้อสุริยะ โตอย่าลืมว่า แม้แต่ตั๋วของโตเองวันนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าเฮาต้องเอาเวลาไปแบ่งปันหื้อกับคนอื่นตลอดเวลามันก็บ่ไหวเหมือนกั๋นเน้อ ปี้ว่าโตทำใจ๋หื้อสบายเต๊อะ ปี้แน่ใจ๋ว่าคนอย่างคุณรินเปิ้นบ่ทำสิ่งตี้บ่ดีแน่ แล้วถ้าเปิ้นพร้อมจะบอกเมื่อได เปิ้นก็คงจะบอกเฮาเอง” วันดาราให้ข้อคิด
สุริยวงศ์นั่งอึ้งถอนใจ เป็นเวลาเดียวกับที่บัวเงินมองเงาตัวเองในกระจกแล้วเอ่ยถามด้วยความแค้น
“กูด้อยกว่ามึงตรงไหนอีมณีริน มึงถึงมาช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากกู” พลันภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมา
ในวันนั้นพระชายา ได้รับของกำนัลเป็นซิ่นสวยจากเมืองแพร่ อีเม้ยที่หมอบรับใช้อยู่ข้างบัวเงิน ยุให้บัวเงินขอ เพราะรู้ว่าพระชายาไม่โปรดนุ่งซิ่นแบบนี้ แต่บัวเงินยังไม่ทันเอ่ย มณีรินกับคำเที่ยงก็คลานเข้ามากราบ

No comments:

Post a Comment

My Blog List