บัวเงินนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด เธอต้องแปลกใจ เมื่อจู่ๆก็มีลมกระโชกแรงจนชายผ้าม่านสะบัดทำให้รูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะล้มคว่ำลง เธอค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบรูปขึ้นมา เห็นภาพเจ้าศิริวัฒนาเจ้าชายรัชทายาท คุ้มเจ้าหลวงเชียงใหม่ในชุดเต็มยศ
“น้องรู้ว่าเจ้าพี่บ่ได้จากน้องไปไหนไกล เจ้าพี่ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ แต่เมื่อใดเจ้าพี่จะเลิกโกรธเลิกเกลียดน้อง แล้วให้โอกาสน้องได้พบเจ้าพี่อีกสักครั้ง เลิกทรมานน้องด้วยวิธีนี้เสียทีเถิดเจ้าพี่” บัวเงินลูบคลำรูปด้วยความรัญจวนใจ
เวลาเดียวกันเรรินก็ตกอยู่ในภวังค์ เธอรู้สึกว่าเหมือนเข้าไปนั่งทอผ้าแทนที่แม่หญิงคนนั้น อย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงชายคนเดิมเรียกหา เจ้าริน เธอชะงักหันไปทางภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่ พบเจ้าศิริวัฒนายืนอยู่หน้าภาพเขียน เรรินประหลาดใจและคิดเอาเองว่า เขาคงเป็นลูกหลานของเจ้าของที่นี่ ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องผ้าผืนงามบนกี่ทอผ้า เรรินแจ้งความประสงค์ว่า อยากจะทอผ้าผืนนี้ให้เสร็จ
“ฉันคิดว่า...เจ้าของผ้าผืนนี้คงรู้สึกเหมือนกับฉันเธอคงอยากให้มีใครสักคนทอผ้าผืนนี้ให้เสร็จ”
“ยินดีนัก เจ้าริน...อ้ายยินดีนัก” เจ้าศิริวัฒนายิ้มเศร้าๆ
“ฉันชื่อเรริน คุณเรียกฉันว่าอะไรนะคะ” เรรินงุนงง มีคำถามมากมายในใจ แต่ไหมแมกลับเข้ามาพอดี เธอโวยลั่นเมื่อเห็นเรรินอยู่ที่กี่ทอผ้า กำลังพุ่งกระสวยสอดเส้นไหม
“ตายแล้วคุณเรริน นั่นคุณทำอะไรของคุณ ไม่ได้นะคะคุณเรรินคุณทำอย่างนี้ไม่ได้” ไหมแมปราดเข้ามาดึงตัวเรรินให้ลุกออกมา
เรรินหันมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าศิริวัฒนา แต่เขาหายตัวไปแล้ว
“ผ้าผืนนี้เจ้าของเก่าตายไปแล้วนะตายไปนานมากแล้วด้วย เขาถือกันไม่มีใครทอผ้าต่อจากคนที่ตายไปแล้วหรอก เพราะมันจะทำให้เกิดแต่เรื่องร้ายๆขึ้นกับคุณ”
“คุณไหมแม...ฟังฉันนะคะ” เรรินจะอธิบายแต่ไหมแมรีบตัดบท
“คุณรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลยดีกว่าค่ะ”
“คุณไหมแม ฉันเสียใจนะคะ ฉันไม่รู้ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับฉัน แต่ฉันรู้สึกอย่างเดียวว่าฉันจะต้องทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ให้ได้” เรรินอ้อนวอน
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันยอมให้คุณทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด เท่าที่ฉันพาคุณมาดูผ้าผืนนี้ ก็ผิดมากอยู่แล้ว ขืนยอมให้คุณทอผ้านั่นด้วย เจ้าของที่นี่รู้เข้าฉันต้องถูกไล่ออกแน่ๆ เชิญออกไปเถอะค่ะ” ไหมแมรีบล็อกห้องแล้วต้อนให้เรรินเดินออกไปหน้าพิพิธภัณฑ์ พลางขอร้องแกมบังคับให้เธอกลับไปเพราะกลัวจะเดือดร้อน
เรรินละล้าละลังหันกลับไปมองที่ตัวคุ้มโบราณเห็นเจ้าศิริวัฒนายืนมองอยู่ที่หน้าต่างชั้นบนก็เรียกให้ไหมแมดู แต่ไหมแมไม่เห็นอะไร จึงเข้าใจว่า เรรินคงเพี้ยนไปแล้ว
ooooooo
สุริยวงศ์เข้ามาช่วยงานเด็กๆอยู่ในครัว เสียงรถวงพระจันทร์แล่นเข้ามาจอด เด็กพนักงานเห็นก็สะกิดชี้ให้สุริยวงศ์ดูเพราะวงพระจันทร์กำลังเดินเข้ามา
“ทำไมตื๊อยังงี้หว่า” สุริยวงศ์วางมือจากงานแล้วเดินเลี่ยงออกไปหลังร้าน
ส่วนวงพระจันทร์เข้ามาจากทางหน้าร้าน ไม่เห็นสุริยวงศ์ก็ถามหา
“คุณสุริยะล่ะ เด็กหน้าร้านบอกฉันว่าเขาอยู่หลังร้าน”
“ตอนนี้บ่ อยู่แล้วครับ” พนักงานตอบพลางมองไปที่หน้าร้านเห็นสุริยวงศ์วิ่งไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
วงพระจันทร์ปรี๊ดแตกเจ็บใจที่ชายหนุ่มหลบหน้าจึงโทร.ตาม แต่สุริยวงศ์ไม่ยอมรับสาย
เสียงโทรศัพท์ข้างตัวสุริยวงศ์ดังไม่หยุด ชายหนุ่มถอนใจหยิบขึ้นมาดูเบอร์ปรากฏว่า ไม่ใช่วงพระจันทร์แต่เป็นวันดารา เขากดรับ วันดารารีบถ่ายทอดคำสั่ง
“อยู่ที่ไหนจ๊ะ รีบเข้าไปหาคุณย่าเดี๋ยวนี้เลย คุณย่าให้ละอ่อนโทร.มา บอกให้เราเข้าไปหาให้ได้ พี่ก็ว่าเธอเดาไม่ผิดหรอก ต้องเป็นเรื่องวงพระจันทร์นะแหละ”
“สงสัยว่าผมคงต้องใช้วิธีที่พี่วันแนะนำจริงๆแล้วละครับ” สุริยวงศ์เหนื่อยใจ
เป็นเวลาเดียวกับที่เรรินกลับมาถึงรีสอร์ตพอดี วันดาราออกมาต้อนรับพลางล้อว่า คงชมผ้าโบราณจนอิ่มข้าวเย็นไปเลย เรรินยิ้มรับพลางเอ่ยถามเรื่องเจ้านางมณีริน
วันดาราแปลกใจที่สาวชาวกรุงเทพฯรู้จักเจ้านางมณีรินด้วย เรรินว่าไหมแมเจ้าหน้าที่ที่ดูแลพิพิธภัณฑ์พาเธอเข้าไปชมผ้าผืนนั้นในห้องที่คุ้มหลวง แต่น่าเสียดายที่ทอไม่เสร็จ
“เจ้า น่าเสียดายมาก มันเป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ไหมแมเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างล่ะคะ”
“เธอเล่าแค่ว่า เจ้านางมณีรินเป็นเจ้าหน้าที่จากเชียงตุงที่ถูกส่งตัวให้มาอภิเษกกับเจ้าชายที่เชียงใหม่”
“ผ้าผืนที่ทอไม่เสร็จที่คุณรินเห็นนั่นนะ ความจริงเป็นผ้าที่ต้องใช้ในพิธีอภิเษกของเปิ้นเจ้า”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ท่านถึงได้”
“เจ้านางมณีริน เปิ้นเป็นเจ้าหญิงมาจากแคว้นเชียงตุง เปิ้นเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายศิริวัฒนา เจ้าชายรัชทายาทของเชียงใหม่ เปิ้นถูกหมั้นหมายกันหลายปีดีดัก ตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนเจ้านางเติบใหญ่ เปิ้นก็เลยถูกส่งตัวให้มาแต่งงาน แต่พอมาถึง เปิ้นกลับไปฮักกับเจ้าศิริวงศ์เข้า เจ้าศิริวงศ์เปิ้นเป็นน้องชายเจ้าศิริวัฒนา เจ้าความฮักของเปิ้นจึงเป็นความรักต้องห้าม รักกันมากแค่ไหน ก็แต่งกันบ่ได้ เกิดเป็นเจ้าแล้วต้องมีหน้าที่ เชียงตุงส่งเจ้านางมณีรินมาล้านนา เพื่อแต่งงานกับเจ้าศิริวัฒนา เป็นเหตุผลทางการเมือง เปิ้นจึงบ่มีทางเลือกมากนัก ก่อนเปิ้นจะแต่งงานเพียงเดือนเดียวเกิดอุบัติเหตุภัยแรงขึ้นกับเจ้าศิริวงศ์ เรือของเปิ้นล่มในน้ำปิง เจ้าศิริวงศ์เปิ้นตายในกระแสน้ำ ไม่มีใครช่วยได้ทัน”
“น่าสงสารจังเลยนะคะ”
แต่มันก็น่าแปลกนะคะคุณริน เพราะหลังจากนั้น งานพิธีระหว่าง เจ้านางมณีรินกับเจ้าศิริวัฒนา ก็ถูกกำหนดขึ้นทันที ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้กับเจ้าศิริวงศ์ และเจ้านางมณีรินก็ลงมือทอผ้า เพื่อให้ตัวเองกับเจ้าบ่าวใช้ในวันงาน แต่เปิ้นสิ้นใจ ก่อนจะทอผ้าเสร็จ เพราะอะไรบ่มีผู้ใดฮู้ดอกเจ้า คนเก่าๆ บางคนก็ว่าเปิ้นตรอมใจตาย แต่บางคนก็ว่ามีคนในคุ้มเจ้าหลวงวางยาพิษเจ้านางมณีริน” วันดาราถ่ายทอดเรื่อง
เรรินฟังแล้วอึ้ง ขนลุกเย็นยะเยือก รู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจ
ooooooo
สุริยวงศ์คลานเข้ามากราบบัวเงินที่นั่งรออยู่ บัวเงินต่อว่าหลานชายเรื่องวงพระจันทร์
“เจ้าทำจะอี้ เป็นใครเข้าก็ต้องคิดว่า เจ้ารังเกียจรังงอน”
“คุณย่าครับ ผมบ่ได้คิดอะหยังกับวงพระจันทร์ นอกจากความเป็นเพื่อนกันเท่านั้นครับ”
“เจ้ากำลังจะบอกย่าว่า เจ้ามีแม่หญิงที่หมายตา เอาไว้แล้ว ยังงั้นสิ”
“บ่ ดอกครับ คุณย่า ผมรู้ครับว่าคุณย่าเป็นห่วงผม ผมจะบ่ยะอะหยังหื้อคุณย่าผิดหวังดอกครับ”
“หื้อโอกาส วงพระจันทร์มันบ้าง อย่างใดเสีย นั้นก็สายเลือดดี สืบโคตรไปได้ถึงปู่ย่าตาทวด ย่าหันมานักแล้ว ไอ้ที่ฮักกันจะเป็นจะตาย สุดท้ายมันก็บ่ได้ครองฮักกัน”
“คุณย่าหมายถึง ท่านปู่ศิริวัฒนาใช้ก่อครับ”
“ไปฮักคนที่บ่ได้ฮักตัว มองบ่หันความฮักที่อีกคนนี้ มันก็บ่ต่างจากบ่มีหัวใจหรอก” บัวเงินถอนใจ
เย็นวันเดียวกัน ธนินทร์แวะมาหาสรัญญาที่คอนโดฯเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ สรัญญาอ้อนให้เขาค้างกับเธอ แต่ธนินทร์ว่ามีประชุมเช้าต้องกลับไปเตรียมตัว
“นึกว่าจะรีบกลับไปเฝ้าคู่หมั้นซะอีก หมั้นกันตั้งหลายปี ยังไม่ได้แต่ง คุณยังอุตส่าห์รออีกเหรอ ใครๆเขาก็พูดกันระหว่างคุณกับเรริน ดูยังไง้ เคมีมันก็ไม่ทำงาน ฉันไม่ได้แช่งนะ แต่ฉันว่าคุณกับเรริน เป็นคู่ที่ไปด้วยกันไม่รอดหรอก”
“ต้องคู่กับเธองั้นสิ เคมีถึงจะทำงาน”
“ก็รึไม่จริง อย่างน้อยเวลาคุณเครียดไม่รู้จะไประบายที่ไหน คุณก็คิดถึงฉันทุกทีไม่ใช่เหรอ หรือว่าที่ดึงเกม พยายามรักษาสภาพของคู่หมั้นเอาไว้ นี้ก็แค่ขอให้ได้กินตับยัยเรริน ซะก่อน ระวังให้ดีเถอะ ถึงเวลาจะได้กินขึ้นมาจริงๆ คุณอาจจะต้องหาขวานมาจามเปิดทาง เพราะหินปูนมันจับจนหาทางเข้าไม่ได้แล้ว” สรัญญาหัวเราะร่วน
“สรัญญา...ถึงรินเขาเป็นยังไง อย่างน้อยเขาก็มีค่ามากกว่าผู้หญิงที่ทำตัวเป็นผู้หญิงชั้นต่ำอย่างเธอ” ธนินทร์ไม่พอใจลุกเดินหนีไป
สรัญญาตาขวางมองตามอย่างแค้นใจ
ในขณะที่เรรินก็ยังวนเวียน คิดถึงแต่เรื่องผ้าที่ทอไม่เสร็จกับเจ้านางมณีริน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอสะดุ้งมองดูเบอร์ที่โทร.เข้ามาเห็นเป็นพรรณวรินทร์ก็รีบกดรับ
พรรณวรินทร์โทร.มาเกลี้ยกล่อมให้ลูกกลับบ้าน เพื่อจะได้ปรับความเข้าใจกับธนินทร์
“แม่คะ พอดี รินมีงานสำคัญต้องทำ คงอีกหลายวันกว่ารินจะกลับกรุงเทพฯค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ รินสบายดี แล้วรินจะโทร.มาหาแม่เอง เท่านี้ก่อนนะคะแม่ รินรักแม่ค่ะ” เรรินกดปิดโทรศัพท์ แล้วหันไปเทยาแก้ไมเกรนมาทาน เธอมองแหวนหมั้นในนิ้วนางข้างซ้าย แล้วค่อยๆ ถอดมันออก เพราะถึงเวลาแล้วที่ต้องเข้มแข็งและไปให้ถึงจุดจบที่ตั้งใจเอาไว้ให้ได้
เรรินลงมาเดินเล่นที่หน้ารีสอร์ต วันดาราชักชวนให้ออกไปเก็บดอกปีบมาประดับห้อง เธอจึงได้พบกับสุริยวงศ์ที่เดินเหนื่อยใจเข้ามา ทั้งสองยืนตะลึงไม่คาดฝันว่าจะได้เจอกันอีก วันดาราตามออกมาพอดี จึงแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกันอย่างเป็นทางการ และชวนเข้าไปดื่มน้ำชาข้างใน
สุริยวงศ์ตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุดแอบกระซิบบอกวันดาราว่า เรรินคือแม่หญิงที่เขาไปเจอที่แม่แจ่ม
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้องชายพี่นี่ตาแหลมเหมือนกันนี่นะ คุณรินเปิ้นน่าฮัก ถูกใจพี่ขนาด” วันดารายิ้มชอบใจ ขณะที่สุริยวงศ์เขินจนน่าขำ
เมื่อได้พูดคุยกัน สุริยวงศ์ก็รู้ว่าเรรินสนใจเรื่องผ้าทอโบราณมาก จึงชวนเธอไปพบบัวเงินเพื่อชมผ้าโบราณล้านนาที่บัวเงินเป็นเจ้าของ
“งั้นพรุ่งนี้เช้า ผมจะมารับคุณรินนะครับ” สุริยวงศ์นัดหมาย
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก”เรรินดีใจ
ooooooo
บัวเงินสั่งให้บ่าวในบ้านไปซื้อไก่ทั้งตัวที่ถูกเชือดแล้วมาให้ บ่าวข้องใจถามว่า จะแกงอะไรเพราะจะได้เตรียมของถูก แต่กลับโดนตวาด
“บ่ต้องมาสู่รู้ จะไปไหนก็ไป” บัวเงินกระชากไก่ในมือบ่าวเดินเข้าห้องที่ถูกปิดตาย
“อีเม้ย มึงอยู่แถวนี้ก๊า”บัวเงินหิ้วคอไก่ต่องแต่งเรียกหาข้ารับใช้ เสียงหายใจครืดคราดค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆในความมืดสลัว
“มากินอาหารของมึงเสีย”บัวเงินโยนซากไก่ลงไปที่พื้น เพียงอึดใจซากไก่ก็ถูกกระชากหายลับเข้าไปในความมืด หลังโต๊ะเครื่องเซ่น ตามมาด้วยเสียงฉีก แหวะ ควัก เนื้อไก่สดๆกินอย่างมูมมาม
“อดอยากปากแห้งจนน่าสมเพชแต๊ๆนะมึง”บัวเงินหมุนตัวจะเดินออก แต่มือสกปรกของผีอีเม้ย เอื้อมมาจับข้อเท้าบัวเงินเอาไว้
บัวเงินหันมามองหน้าอีเม้ยหน้าที่ดำเป็นตอตะโก เลือดไก่ยังฉ่ำเลอะปากสกปรก ดวงตาของมันเหมือนจะถลนตกนอกเบ้า และที่สำคัญมีแต่ตาขาวไม่มีตาดำ มันเอ่ยกับบัวเงินด้วยความภักดี
“บ่าวฮู้...ว่าทูนหัวของบ่าว บ่มีวันทอดทิ้งบ่าวดอกเจ้า”
ด้านสุริยวงศ์ เขาลงครัวทำอาหารพื้นเมืองล้านนาให้เรรินได้ชิม โดยมีวันดาราเป็นกองเชียร์เพราะหวังให้น้องชายพิชิตใจเรรินได้สำเร็จ
“น้องชายพี่คนนี้เขาเรียนจบด้านอาหารมาจากฝรั่งเศส เชียวนะเจ้า เป็นนักออกแบบอาหาร แต่เปิ้นมักถ่อมตน เปิ้นมีร้านอาหารอยู่ในเวียงเจ้า ชื่อร้านกาสะลอง”
“ร้านกาสะลอง ที่มีต้นปีบใหญ่อยู่หน้าร้านนะเหรอคะรินเคยแวะเข้าไปอุดหนุนกาแฟมาถ้วยหนึ่งแล้วล่ะคะ ร้านสวยน่ารักมากเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ ผมไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายหรอกครับ อาศัยครูพักลักจำเอามากกว่า อย่างอาหารที่ร้านก็เน้นอาหารเมืองนี่แหละครับ แต่ปรับหน้าตาให้ดูร่วมสมัยขึ้นมาหน่อยเท่านั้นเอง อย่างจานนี้ก็เป็นอาหารง่ายๆคนเหนือทุกบ้านก็ทำกินกันทั้งนั้น แต่มันคงง่ายซะจน ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นจานเด็ดเพื่อสุขภาพได้หรอกครับ คุณรินจะลองชิมดูไหมครับ” สุริยวงศ์ยื่นจานยำผักให้เรรินชิม
เรรินม้วนผักกาดด้วยส้อมชิมแล้วเอ่ยชม “อร่อยค่ะ อร่อยมากเลย ปกติถ้ามีเวลารินก็ชอบทำอาหารเหมือนกัน สงสัยว่าวันหลังจะต้องขอถ่ายทอดวิชาจากฟู้ดสไตลิสต์คนนี้บ้างละค่ะ”
“ยินดีครับ ด้วยความยินดี อยู่เชียงใหม่นานๆสิครับ ผมจะได้สอนให้ทำอาหารเหนือให้เป็นให้หมดเลย” สุริยวงศ์ยิ้มจริงใจ
เรรินยิ้มรับรู้สึกวางใจและเป็นกันเองกับสุริยวงศ์ได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากสุริยวงศ์กลับไปแล้ว วันดาราก็นำผ้าซิ่นมาให้เรรินเลือก เพราะอยากให้เธอนุ่งซิ่นไปพบบัวเงินในวันพรุ่งนี้ “คุณย่าเปิ้นเป็นคนเก่าคนแก่ เปิ้นคงจะปลื้มใจที่คนรุ่นใหม่สนใจของเก่าของโบราณ บ่ได้ทอดทิ้ง เปิ้นจะได้เอ็นดู เลือกไปเถอะเจ้า”
“ขอบคุณค่ะพี่วัน แต่รินว่าเลือกยากจังเลยเพราะงามทุกผืน งั้นรินขอเลือกผ้าซิ่นแม่แจ่ม ผืนนี้ก็แล้วกันค่ะพี่วัน” เรรินลูบคลำผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่ม
ooooooo
กลางดึกคืนนั้น เรรินฝันเห็นเจ้าศิริวัฒนามาพบ ท่านถามเธอว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะทอผ้าเสร็จทั้งผืน
“ฉันเองก็ไม่รู้ ฉันบอกคุณไม่ได้หรอก เพราะลายไม่ง่าย และที่สำคัญ เขาห้ามไม่ให้ฉันเข้าไปทอผ้าผืนนั้นอีก ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน...แต่ฉันไม่เปลี่ยนใจแน่ ยังไงฉันก็จะทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จให้ได้”
“ไม่ว่าจะนานแสนนานแค่ไหน เจ้ารินก็เป็นคนมุ่งมั่นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยินดีนัก อ้ายยินดีนัก” เจ้าศิริวัฒนาขยับเดินออกมา เรรินเดินตามพลางเอ่ยถามเรื่องเจ้านางมณีว่าตายเพราะอะไรกันแน่
“ไม่ว่าจะตายยังไงมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจทั้งนั้นไม่ใช่หรือ กิเลส ตัณหา ราคะทำให้คนทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัวเอง แล้ว
คุณจะเห็นเองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณจะเข้าใจเองว่าทำไมมันต้องจบลงอย่างนั้น” เจ้าศิริวัฒนาตอบพลางเอื้อมมือไปเด็ดดอกพุดบานแย้มดอกใหญ่ออกมาจากต้นและยื่นให้เรริน
“คุณชอบดอกเก็ดถะหวาไหม”
“ฉันชอบดอกไม้ทุกอย่างค่ะ”เรรินรับดอกไม้มา
“แต่คุณก็ชอบดอกกาสะลองมากกว่า ไม่ว่าจะนานแสนนานแค่ไหน เจ้ารินก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”เจ้าศิริวัฒนายิ้มเศร้า
“ฉันว่ากลิ่นของมันออกจะฉุนเฉียวไปหน่อย ดอกกาสะลองหอมเย็นกว่า เอ ต้นของมันอยู่ทางโน้นใช่ไหมคะ”
เรรินหันไปทางทิศต้นปีบ แต่เมื่อหันกลับมาก็ไม่พบเจ้าศิริวัฒนาแล้วเรรินสะดุ้งตื่นงงกับความฝันที่เหมือนจริงไม่มีผิดและต้องแปลกใจเมื่อมองไปทางผ้าซิ่นที่พับวางเอาไว้เห็นมีดอกพุดวางอยู่
ooooooo
เช้าวันใหม่สุริยวงศ์มารับเรรินตามนัด วันดาราแซวน้องชายว่า คงตื่นเต้นจนทานอะไรไม่ลง แต่สุริยวงศ์ไม่ว่าอะไรเพราะมัวตะลึงมองเรรินที่นุ่งซิ่น สวมเสื้อผ้าฝ้ายทอมือสีครีมสะอาด รวบผมทิ้งมวยหลวมๆ งามเรียบง่ายจนน่าตะลึง
วันดาราเห็นอาการน้องชายก็รีบชงให้นำดอกปีบที่เก็บมาเสียบผมให้เรรินเพราะจะได้งามครบเครื่อง
ระหว่างทางมาบ้านบัวเงิน สุริยวงศ์บอกเล่าเรื่องราวของผู้เป็นย่าให้เรรินฟังว่า ตอนนี้ท่านอายุเก้าสิบแล้ว แต่ยังแข็งแรงและความจำดีมาก ถ้าเรรินอยากรู้เรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องในคุ้มเจ้าหลวงเชียงใหม่ ก็ให้ถามท่านได้ เพราะท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ในคุ้มเจ้าหลวง
“คือคุณย่าผมท่านเกือบจะได้เป็นชายาของเจ้าหลวงเชียงใหม่ครับ แต่สุดท้ายก็ได้เป็นแค่หม่อมของท่าน” สุริยวงศ์ทิ้งท้าย เพราะมาถึงบ้านบัวเงินแล้ว
สุริยวงศ์ให้บ่าวขึ้นไปเรียนบัวเงินว่าเขามาขอพบ แล้วพาเรรินเข้าไปนั่งในห้องรับแขกเพราะจะเข้าไปกราบคุณย่าก่อน เรรินรับคำพลางกวาดสายตาสำรวจรอบๆอย่างชื่นชม แต่เธอไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังถูกผีอีเม้ยจับตามองอยู่ เพื่อหาโอกาสเล่นงาน
ด้านสุริยวงศ์ก็เข้าไปกราบเรียนบัวเงินว่าพาเพื่อนมาพบ เพราะเธอสนใจผ้าทอโบราณ บัวเงินนึกระแวงกลัวจะเป็นคนรักของหลานชาย สุริยวงศ์ออกตัวว่าเพิ่งรู้จักกันเพราะเธอเป็นแขกที่รีสอร์ตของวันดารา
“ไหนพาย่าออกไปซิ ย่าชักอยากจะเห็นหน้าเพิื่อนของเจ้าคนนี้เต็มทนแล้ว”บัวเงินขยับลุกขึ้น
“ครับคุณย่า” สุริยวงศ์ขยับเข้าประคองบัวเงินให้ลุกขึ้นไปที่ห้องรับแขก
ทันใดนั้นเมฆสีดำก็ทะยานเข้าบดบังพระอาทิตย์ จนฟ้าหลัว บ่าวถือเชิงเทียนที่จุดไฟแล้วเข้ามาให้เรรินพลางบ่น “บ่ฮู้เป็นอะหยัง เมื่อกี้ยังฟ้าแจ้งจางปางอยู่ดีๆ นี่ไฟก็ดับทั้งบ้านเลยแปลกแต๊ๆ” บ่าววางเทียนไว้มุมหนึ่งแล้วถอยออกไป สวนกับสุริยวงศ์ที่พาบัวเงินเข้ามา
เรรินมองบัวเงิน สุริยะรีบแนะนำ “คุณรินครับ นี่คุณย่าบัวเงินของผม นี่คุณรินครับ คุณย่า”
เรรินขยับเข้ามาใกล้บัวเงินแล้วกราบลงที่พื้น บัวเงินชะงักถามว่า ชื่ออะไร
“เรรินค่ะ ดิฉันชื่อเรริน” เรรินเงยหน้าขึ้นตอบ
บัวเงินจ้องเรรินตัวแข็ง ตาไม่กะพริบ พลันเสียงสายฟ้าฟาดโครมครืน แสงฟ้าแลบวาบเข้ามาถึงในห้องหน้าเรริน
สว่างวาบ บัวเงินตะลึงเพราะภาพที่เห็นคือเจ้านางมณีรินสวมชุดเจ้าหญิงเชียงตุงนั่งอยู่
ฟ้าผ่าลงเปรี้ยง! ยอดไม้ใหญ่หักสะบั้นลง ลมพัดกระโชกเข้ามาอย่างแรงภายในห้อง พร้อมกับเสียงตวาดของบัวเงิน “อีมณีริน มึงกลับมาจนได้สินะ อีงูพิษ มึงกลับมาทำไมอีมณีรินคนอย่างมึงไม่เคยเข้าใจอะไรง่ายๆหรอก มึงไม่เคยนึกถึงคนอื่นนอกจากตัวของมึงเอง” บัวเงินลุกขึ้นชี้หน้าเรริน
เรรินตกใจงงหันมาทางสุริยะ สุริยะร้องห้าม “คุณย่าครับ คุณย่าคงเข้าใจอะไรผิดแล้วละครับ”
“ออกไป๊ ออกไปจากเรือนกูเดี๋ยวนี้ อีมณีริน อีงูพิษมึงมันร้ายกาจกว่าที่กูคิดชาตินี้กูไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะหวนกลับมาได้อีก คนอย่างมึงตายไปแล้วยังพิษสงมากนัก ออกไป๊กูบอกให้ออกไป”
เรรินแทบช็อก ขณะที่สุริยะพยายามดึงบัวเงินไว้ สุดท้ายบัวเงินก็เป็นลมล้มพับลงไป สุริยวงศ์กับบ่าวช่วยกันพาไปพักในห้อง ทิ้งให้เรรินอยู่ตามลำพัง อีเม้ยสบโอกาสห้อยหัวลงมาจากขื่อเพดานเหมือนค้างคาวหลอกเรริน
เรรินตกใจสุดขีดหมดสติไปอีกคน บ่าวออกมาเห็นก็รีบไปตามสุริยวงศ์
“คุณริน สองคนช่วยกันดูแลคุณย่าเปิ้นโตย” สุริยวงศ์สั่งบ่าวแล้วปล่อยมือจากบัวเงิน รีบผละออกไป
“อีมณีริน มึงกลับมาจองเวรจองกรรมกะกู กลับมาเพื่อจะควักหัวใจของกูให้ได้ใช่ก๊า...อีคนมารยาสาไถ” บัวเงินแค้นใจนัยน์ตาซึ่งฝ้าฟางเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวดุดัน
ooooooo
สุริยวงศ์ออกมาดูแลเรรินจนเธอได้สติ เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า เกิดอะไรขึ้น แต่เรรินไม่กล้าบอกความจริงจึงตัดบทว่า คงตาฝาดไป แล้วไล่ให้สุริยวงศ์กลับไปดูแลบัวเงิน
“ไม่เป็นไรครับ คำปัน...ฉันจะไปส่งคุณรินก่อนนะ ฝากดูแลคุณย่าด้วยมีอะไรก็โทรศัพท์หาฉันได้ตลอดเวลา” สุริยวงศ์สั่งบ่าวแล้วประคองเรรินไปขึ้นรถ
เรรินค่อยๆหันกลับไปมองที่ตัวบ้าน แล้วต้องตะลึงรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจดปลายเท้า เมื่อเห็นบัวเงินยืนจ้อง
มองลงมาจากที่หน้าต่างห้อง แต่ที่น่าขนลุกไปกว่านั้น ร่างดำทะมึนของผีอีเม้ย ประกอบอยู่หลังบัวเงินด้วยเล่นเอาอาการไมเกรนของเธอกำเริบขึ้นมาทันที จึงต้องให้สุริยวงศ์ช่วยแวะร้านขายยา
เรรินยังข้องใจเรื่องที่บัวเงินเรียกเธอว่า มณีริน จึงเอ่ยถามสุริยวงศ์ เพราะไม่แน่ใจว่า บัวเงินหมายถึง เจ้านางมณีรินหรือเปล่า
“ไม่ทราบสิครับ อาจจะเป็นคนเก่าแก่ที่คุณย่าท่านเคยรู้จักก็ได้ คุณย่าท่านเคยอยู่ในคุ้มเจ้าหลวงมาครึ่งค่อนชีวิตท่าน ตั้งแต่เจ้าหลวงองค์ก่อนท่านยังไม่พิราลัยแน่ะครับ แต่ผมว่าคุณย่าท่านเลอะเลือนมากกว่าครับปีนี้ท่านก็เก้าสิบแล้ว เป็นธรรมดาของคนแก่น่ะครับ” สุริยะให้ความเห็น
เรรินไม่พูดอะไรต่อทั้งที่เกิดคำถามขึ้นมากมายในใจ
ขณะเดียวกัน บัวเงินก็เข้ามาคุยกับผีอีเม้ยในห้อง เพราะเชื่อว่า เจ้านางมณีรินกลับมาจองเวรเธอแล้ว
“หม่อมเจ้าขา หม่อมของเม้ย หม่อมบ่ต้องกลัวดอก ต่อให้มีสิบอีมณีรินมันก็ยะอะหยังหม่อมของเม้ยบ่ได่ เม้ยจะปกป้องหม่อมด้วยชีวิตของเม้ยเจ้า” อีเม้ยปลอบใจ
บัวเงินแววตาเหี้ยมไม่ต่างไปจากเมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้ว
วงพระจันทร์ที่บังเอิญมาทำธุระในเมือง เห็นสุริยวงศ์เดินออกมาจากร้านขายยากับผู้หญิงคนหนึ่งก็นึกระแวงจึงโทร.เช็ก สุริยวงศ์ตอบตามจริงว่า เขาออกมากับแขกที่รีสอร์ต ของวันดารา แต่วงพระจันทร์ไม่เชื่อรีบไปดักรอชายหนุ่มที่ร้านเพื่อเค้นความจริง
ในขณะที่สุริยวงศ์พาเรรินมาส่งที่รีสอร์ต วันดาราเดินยิ้มออกมารับ
“เป็นจะไดคุณริน ผ้าโบราณของคุณย่าเปิ้นงามก่อ”
“ไม่ทันได้ดูผ้าหรอกค่ะพี่วัน” เรรินสีหน้าไม่ดีนัก
วันดาราแปลกใจเตรียมจะซัก แต่สุริยวงศ์ขัดคอ ขอให้เรรินขึ้นไปพักก่อน เพราะเธอปวดหัว เรรินรีบขอตัว วัน–ดารางงหนักซักสุริยวงศ์ว่า เกิดอะไรขึ้น
“ผมก็บ่เข้าใจ๋เหมือนกั๋นครับพี่วัน ทีแรกก็ทำท่า
ว่าทุกอย่างจะไปได้ดี แต่พอคุณย่าเห็นหน้าคุณรินเท่านั้นแหละครับ เปิ้นลุกขึ้นชี้หน้าไล่ตะเพิดคุณริน แล้วก็เรียกคุณรินเปิ้นว่าอีมณีรินครับ”
“มณีริน ป๊าด...คุณย่าเปิ้นฟั่นเฟือนกันไปใหญ่แล้ว”
เรรินกลับมานั่งคิดหนักไม่เข้าใจว่า ทำไมบัวเงินถึงเรียกเธอว่ามณีริน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เรรินก้มดูเห็นเป็นเบอร์ ของแม่ก็กดรับ แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นธนินทร์ที่แอบใช้โทรศัพท์ของพรรณวรินทร์โทร.มา เขาออดอ้อนขอให้เธอกลับไปและถามถึงเงินค่าผ้าว่าจะให้จัดการอย่างไร เรรินให้ฝากไว้ กับพรรณวรินทร์ แล้วกดปิดเครื่อง
“ฮัลโหล ริน...ริน ปัดโถ่เว้ย” ธนินทร์ทำฮึดฮัด แล้วก็ชะงักเพราะพรรณวรินทร์เดินออกมาพอดี
พรรณวรินทร์ไม่พอใจนักที่ธนินทร์ถือวิสาสะใช้โทรศัพท์ของเธอ
“พอดีรินเขาโทร.เข้ามาเครื่องคุณแม่นะครับ ผมเห็นเป็นเบอร์รินดีใจจนลืมตัวนะครับ เลยรับสายซะเอง” ธนินทร์แก้ตัว
“เหรอจ๊ะ แล้วคุยอะไรกันบ้างล่ะ” พรรณวรินทร์ฝืนยิ้มให้
“ผมถามรินเขาเรื่องเงินที่ขายผ้าได้ รินเขาบอกให้เก็บเอาไว้ที่ผมก่อนดีกว่าครับ” ธนินทร์โกหกต่อพลางส่งโทรศัพท์คืนให้
“เหรอจ๊ะ” พรรณวรินทร์พูดซ้ำ เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างน่าสงสัย
ooooooo
สุริยวงศ์กลับมาถึงร้านก็โดนวงพระจันทร์เล่นงานตามแบบฉบับนางร้าย ชายหนุ่มสุดทนพูดสวนออกไป
“จะพูดจาอะไรหัดคิดให้ดีซะก่อนที่จะพูดออกมาดีกว่านะ อย่างน้อยเธอก็เป็นคนดูมีการศึกษา ก่อนที่จะหวังให้คนอื่นเขาให้เกียรติเธอ เธอต้องรู้จักให้เกียรติคนอื่นเขาก่อน”
“อีคนนั้นมันเป็นใครมาจากไหน คุณถึงมาด่าฉันฉอดๆ ยังงี้”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยวงพระจันทร์ เพราะแค่นาทีนี้เธอกับคุณรินก็เทียบชั้นกันไม่ได้แล้ว เลิกดูละครน้ำเน่าในทีวีได้แล้ว ไม่งั้นเธอจะติดเอานิสัยแย่ๆแบบที่เห็นมาใช้ อายคนอื่นเขาเปล่าๆ” พูดจบสุริยวงศ์ก็เดินออกไปหลังร้านทันทีทิ้งให้วงพระจันทร์ยืนอึ้งกรี๊ดไม่ออก เพราะเจ็บจนจุก
ด้านวันดารา เธอขึ้นมาดูแลเรรินพลางปลอบใจเรื่องบัวเงินว่า คงเลอะเลือนฟังชื่อเรรินเพี้ยนเป็นมณีริน
“แล้วคุณย่าของพี่วันกับเจ้านางมณีรินท่านเกี่ยวข้องกันยังไง พี่วันพอจะทราบไหมคะ” เรรินซัก
“โอ้โฮ เรื่องมันนมนานมาแล้วนะคะคุณริน”
“พอเจ้านางมณีรินท่านสิ้นใจไปเกิดอะไรขึ้นคะ”
“เขาเล่ากันว่า เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นก็เข้าพิธีอภิเษกกับแม่ญิงอีกคนนึ่ง ไม่นานเปิ้นก็ล้มป่วย แล้วก็สิ้นใจตามเจ้านางมณีรินไปอีกคนเจ้า”
“ยิ่งฟังยิ่งน่าเศร้านะคะ”
“คุณรินจะไม่ถามพี่เหรอเจ้า ว่าเจ้าศิริวัฒนาเปิ้นแต่งงานกับผู้ใด”
“คะ...ท่านแต่งงานกับใครคะพี่วัน”
“คุณย่าบัวเงิน แล้วสุริยะเปิ้นมีเชื้อสายเจ้าเชียงใหม่นะคุณริน แต่ก็บ่ใช่หลานสายตรงของเจ้าศิริวัฒนาดอกเจ้า เพราะหลังจากเป็นม่ายอยู่หลายปี คุณย่าบัวเงินเปิ้นก็แต่งงานใหม่กับปู่ของสุริยะเปิ้น เป็นเชื้อสายเจ้าเชียงใหม่เหมือนกัน” วันดาราให้ข้อมูลเพิ่ม
เรรินเริ่มเข้าใจ แต่คนที่ยังไม่เข้าใจก็คือวงพระจันทร์ เธอเข้าไปบีบน้ำตาฟูมฟายฟ้องบัวเงินเรื่องเรรินกับสุริยวงศ์แถมตอกไข่ใส่สีหวังให้บัวเงินเรียกสุริยวงศ์มาจัดการ แต่กลับโดนตวาดไล่
วงพระจันทร์เดินหัวเสียออกมาที่บันไดปากก็พึมพำด่าบัวเงิน ผีอีเม้ยที่รออยู่ตรงเข้าเล่นงาน วงพระจันทร์กรีดร้องสุดเสียงก่อนแล้วกลิ้งหลุนๆตกบันได
ooooooo
คืนนั้นเรรินได้พบกับเจ้าศิริวัฒนาอีกครั้ง เขามาหาเธอถึงในห้อง เพราะเป็นห่วงที่เธอไปบ้านบัวเงิน
“คุณหมายถึงบัวเงิน คุณย่าของคุณสุริยวงศ์น่ะเหรอคะ ทำไมคะ”
“มีอันตรายที่นั่น อีเม้ยและบัวเงิน”
“เม้ย...ใครคะ”
“นอกจากอีเม้ยแล้ว เธอจงระวังบัวเงินให้ดี หากไม่จำเป็น แล้ว โปรดอย่าไปที่นั่นอีก...อย่าให้บัวเงินทำร้ายเธอได้อีก”
“คะ ฉันไม่เข้าใจว่าคุณกำลังจะบอกอะไรฉันกันแน่ ทำไมฉันต้องระวังคุณย่าของคุณสุริยวงศ์ด้วยท่านจะทำอะไรฉัน”
“แล้วสักวันเธอก็จะเข้าใจเอง สักวันเธอจะเข้าใจทุกอย่าง” ศิริวัฒนาขยับตัวทำท่าเหมือนจะจากไป
“เดี๋ยวสิคะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร”
เจ้าศิริวัฒนายิ้มเศร้าให้เรรินแล้วยื่นดอกพุดให้
เรรินเอื้อมมือไปรับดอกพุดมาพลางเอ่ยถามว่า จะได้พบกันอีกไหม แต่ไม่พบเจ้าศิริวัฒนาอยู่ตรงนั้นแล้ว
ขณะที่เรรินกำลังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ร้านกาสะลองของสุริยวงศ์ก็มีโอกาสได้ต้อนรับสรัญญาที่มาเยี่ยมเยียนเพื่อนๆถึงเชียงใหม่ และเธอก็รีบโปรยเสน่ห์ใส่เจ้าของร้านทันที ด้วยหวังจะยกระดับตัวเอง
เช้าวันใหม่ เรรินเข้ามาขอยืมจักรยานจากวันดาราเพราะจะกลับไปที่เก็ดถวาอีกครั้ง เมื่อมาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์พรรณวรินทร์โทร.มาเตือนให้ลูกสาวระวังตัว เพราะเมื่อคืน เธอฝันไม่ดีนัก
“รินสบายดีค่ะแม่ รินรักแม่นะคะ” เรรินกดปิดโทรศัพท์ แล้วมองเข้าไปในคุ้มเจ้าหลวงอย่างแน่แน่ว ก่อนจะจูงจักรยานเข้าไปจอดที่เดิม แล้วเดินเข้าไปด้านใน
ไหมแมที่กำลังตรวจเอกสารเห็นเรรินกลับมาอีกก็รีบกันท่า เพราะกลัวเธอจะแอบเข้าไปทอผ้าอีก เรรินยืนยันหนักแน่นว่า เธอจะอยู่แค่ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้นจริงๆ ไหมแมจนใจต้องยอมให้เรรินเข้าไป แต่คอยจับตาอยู่ตลอด
เรรินชมผ้าแต่ละชิ้นด้วยความสนใจ และรอโอกาสหลบลงไปชั้นล่างเพื่อทอผ้าต่อ ไม่นานนัก ไหมแมก็ละสายตาเรรินไปสั่งงานกับช่างไฟและแม่บ้านที่เข้ามาเตรียมสถานที่ เพราะจะมีงานเลี้ยงในอาทิตย์หน้า เรรินได้โอกาสรีบหลบลงไปชั้นล่างและโชคดีที่ไหมแมสั่งให้แม่บ้านไปไขประตูห้องทอผ้ารอไว้เพื่อให้ช่างไฟเข้าไปเปลี่ยนหลอดไฟ
เรรินรีบแฝงตัวเข้าไปในห้องความมืดสลัวทำให้ต้องยืนนิ่งเพื่อปรับสายตาตัวเองครู่หนึ่ง เห็นกี่ทอผ้ายังคงตั้งอยู่ที่เดิม เธอเดินมาที่กี่ทอผ้าค่อยๆดึงผ้าสีขาวที่ปิดผ้าที่ทอค้างเอาไว้ออก แล้วนั่งลงปลดแกนไม้ที่ใช้ม้วนเก็บผ้าส่วนที่ทอเสร็จแล้วออกดู เห็นมีรอยเลือดแห้งจนเป็นสีน้ำตาลกระเซ็นเปื้อนเป็นจุดก็นึกเสียดาย
จู่ๆเทียนเก่าบนเชิงเทียนที่วางไว้หัวเสากี่ทอผ้าด้านหนึ่งก็เกิดติดไฟขึ้นเองอย่างน่าอัศจรรย์ เรรินชะงักมองไปรอบๆก็พบเจ้าศิริวัฒนายืนยิ้มเศร้าอยู่หน้าภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่
“เจ้ารินยังมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวต่อสิ่งที่ศรัทธาเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง ขอบใจที่คุณแน่แน่วจะทอผ้าผืนนี้ให้เสร็จ”
“มันเหมือนเป็นภาระหน้าที่ที่ฉันจะต้องทำให้ได้ค่ะ ฝีมือของฉันอาจจะไม่ดีเท่าเจ้านางมณีรินแต่ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ”
“ยินดีนัก อ้ายยินดีนัก เจ้าริน”
เรรินไม่ว่าอะไร เธอก้มลงทอผ้าได้ยินเจ้าศิริวัฒนาเอ่ย “ผ้าผืนนี้ความจริงจะต้องใช้ในงานพิธีแต่งงาน คนที่เป็นเจ้าสาวจะต้องทอผ้าส่วนหนึ่งมอบให้เจ้าบ่าว อีกส่วนหนึ่งเป็นของเจ้าสาวเอง เส้นไหมจะต้องเส้นเดียวไม่ขาดจากกัน หมายถึงความรักนิรันดร”
“แม้ว่าตัวจะต้องจากกัน แต่ความรักก็ยังคงอยู่ ไม่มีวันเสื่อมคลาย อย่างนั้นใช่ไหมคะ”
“ส่วนของเจ้าบ่าวทอเสร็จไปแล้ว แต่ส่วนของเจ้าสาวยังไม่เสร็จ”
“หมายความว่าส่วนที่ฉันกำลังทออยู่นี่เป็นส่วนของเจ้าสาวใช่ไหมคะ เอ้อฉันเห็นรอยเปื้อนในผืนผ้ามันเป็นรอยเลือดใช่ไหมคะ” เรรินหันมามองแต่เจ้าศิริวัฒนายังนิ่งเธอจึงถามต่อว่าเป็นรอยเลือดของเจ้านางมณีรินใช่ไหม
เทียนดับวูบลงทันทีเหมือนถูกเป่าลมให้ดับ เรรินหันขวับไปมอง เจ้าศิริวัฒนากระซิบเตือนว่า เธอควรซ่อนตัวเพราะช่างไฟกำลังลงมา เรรินรีบลุกไปหาที่ซ่อนด้วยใจระทึก
ooooooo
No comments:
Post a Comment