Thursday, September 15, 2011

บทละคร รอยไหม ตอนที่ 7

 
มณีรินกลับมาถึงเรือน ก็สั่งคำเที่ยงให้ออกไปเสาะหาฝ้าย เพื่อนำมาทอผ้าห่มพระธาตุแข่งกับบัวเงิน

“อ้าว ก็ปี้หันเจ้ารินเฉยๆบ่อยากจะแข่งขันกับไผ” คำเที่ยงแปลกใจ

“เฮาเปลี่ยนใจ๋แล้ว เฮาจะแข่ง แล้วเฮาก่อต้องการจะเป๋นผู้ชนะด้วย ผ้าของเฮาต้องได้ห่มองค์พระธาตุบ่ใจ่ห่มฐาน”

“ป๊าด อะหยังดลจิตดลใจ๋เจ้ารินของปี้กันเนาะ บอกปี้ได้ก่อ”

“บ่มีอะหยัง เฮาแค่อยากถวายเป๋นพุทธบูชา” มณีรินเก็บอาการ

“ถ้าจะอั้น เจ้ารินบ่ต้องห่วงปี้จะฮื้อคนไปสืบฮื้อ งานนี้หม่อมบัวเงินหงายหลังเงิบแน่บ่ฮู้จักคนเจียงตุงเสียแล้ว ถึงคราวสู้ สู้ยิบตาขนาดไหน” คำเที่ยงฮึกเหิมออกหน้าออกตา แล้วรีบเกณฑ์บริวารออกไปช่วยกันเสาะหาฝ้าย
เมื่อเรื่องรู้ไปถึงหูอีเม้ย มันรีบเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย “อีคำเที่ยงมันเที่ยวฮื้อคนของมันไปเสาะถามว่าตี้ไหนมีฝ้ายงามๆผ่องมันจะเอามาฮื้อนายของมันตอผ้าแข่งกับหม่อมเจ้า”

“ต่อหน้ามันทำหงิมๆลับหลังมันก้อคิดจะล้างกู อีเม้ยมึงรีบส่งคนของเฮาออกไปนอกคุ้ม จาวบ้าน บ้านไหนมันเก็บฝ้ายแล้ว เอามาหื้อหมด อย่าฮื้อเหลือแม้แต่ดอกเดียว บอกมันไปว่า เจ้าหลวงเปิ้นสั่ง”

“หื้อเม้ยอ้างเจ้าหลวงเปิ้นไปเลยละเจ้า จะดีก๊าเจ้า หม่อมเจ้า”

“มึงจะกั๋วอะหยังอีเม้ย กูอยู่ตรงนี้ตั้งคนอีบ้านไหนมันขยักฝ้ายเอาไว้มึงก่อขู่มันไปว่าต้องโดนตัวหัว อีบ้านไหนมันอิดๆออดๆมึงก็เอาเงินฟาดหัวมันไป กูต้องได้ฝ้ายทุกดอกในเจียงใหม่ เพราะกูอยากจะหันน้ำหน้าอีมณีรินว่า ถ้ามันบ่มีฝ้ายซักดอกเดียวหื้อมันหัน มันจะเอาปัญญาตี้ไหนมาแข่งกะกู”

“ป๊าด หม่อมของเม้ยนี่เป๋นแม่ญิงตี้ฉลาดปราดเปรื่องตี้สุดในล้านนานี้เลยเจ้า” อีเม้ยประจบแล้วคลานออกไปเรียกบริวาร “อีพวกเด็กๆมึงมานี่กั๋นหื้อหมดหม่อมเปิ้นมีงานสำคัญจะหื้อพวกมึงทำ”

เหล่าบริวารเข้ามาร่วมประชุม บัวเงินกระหยิ่มมั่นใจว่า ชนะมณีรินแน่นอน

ooooooo

ดึกแล้วแต่เจ้าศิริวงศ์ไม่อาจข่มตาลงได้ เขาหยิบโคลงล้านนาของมณีรินมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกถ้อยคำยิ่งตอกย้ำความทุกข์ในความรัก เพราะทางออกสำหรับปัญหานี้ช่างมืดมน เจ้าหนุ่มเดินลงมาในสวน เพื่อสงบจิตใจ แต่กลับเห็นบัวเงินและอีเม้ยเดินสวนมาจึงรีบหลบ เขาได้ยินบัวเงินไล่ให้อีเม้ย กลับไป เพราะคืนนี้จะอยู่รับใช้เจ้าศิริวัฒนาถึงเช้า

“หม่อมอย่าลืมร่ายคาถา ก่อนเข้าห้องเจ้าเปิ้นนะเจ้า เปิ้นจะได้ฮักได้หลงหม่อมคนเดียว บ่ต้องไปคิดถึงอีคนเฮือน ปู้น” อีเม้ยเตือน

“เออ กูมีอิ๋น อยู่กับตัวอยู่แล้ว...มึงคอยไค่หัวเอาไว้หื้อดีเต๊อะ ถ้ากูได้ลูกกับเจ้าอ้ายของกูก่อนเปิ้นจะแต่งงานกับอีมณีริน มันจะยะหน้ายังได ไป...มึงปิ๊กได้แล้ว” บัวเงินไล่

อีเม้ยรับคำสั่งเดินแยกกลับออกไป บัวเงินมุ่งหน้าไปที่ตึก บ่าวมองตามนาย เจ้าศิริวงศ์นึกห่วงมณีรินต้องเจอศึกหนักเมื่อแต่งงานกับเจ้าศิริวัฒนา

บัวเงินเข้ามาหยุดหน้าห้องเจ้าศิริวัฒนา เธอประนมมือขึ้นร่ายคาถางึมงำปลุกเสกความขลังของอิ๋น แล้วเป่าเพี้ยงๆอยู่หลายที แต่ยังไม่ทันท่องคาถาจบ ประตูห้องก็เปิดออก บัวเงิน ชะงักเข้าใจว่าขลังจริง นางรีบถามเจ้าศิริวัฒนาว่า กำลังจะลงไปหาตนหรือ

“เปล่าพี่แค่จะไปห้องน้ำ”

“งั้นน้อง เข้าไปคอยในห้องเจ้าพี่นะเจ้า” บัวเงินจะเข้าห้อง

เจ้าศิริวัฒนาร้องห้ามอ้างว่า คืนนี้ต้องทำงานเรื่องเอกสารต่อให้เสร็จและเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว บัวเงินฉีกยิ้มอาสานวดให้ แต่เจ้าศิริวัฒนายืนยันคำเดิมแล้วไล่ให้บัวเงินกลับเรือนไป บัวเงินกร่อยสนิท
เมื่อบัวเงินไม่อยู่อีเม้ยก็ได้โอกาสขึ้นไปนั่งบนที่ของบัวเงินแล้วเรียกบริวารมาบีบนวดทำเหมือนเป็นนายอีกคน สักพักบัวเงินก็กลับมาถึง นางตวาดจนอีเม้ยสะดุ้งสุดตัว กระโจน ลงมาจากที่นั่งแทบไม่ทัน
“อีเม้ย มึงกล้าดียังไงขึ้นไปนั่งบนที่กู” บัวเงินเสียงเขียว
“เม้ย...เม้ย...เม้ยแค่อยากลองนั่งดูว่ามันสบายจริงรึเปล่าเจ้า เผื่อไม่สบายจะได้เย็บฟูกน้อยมารองเจ้า ทำไมหม่อมกลับมาไวนัก หรือว่าเจ้าเปิ้น...” อีเม้ยแอบยิ้มนึกไปไกล
“คาถาของมึงไม่เห็นจะได้ผล เจ้าพี่ไล่ตะเพิดกูลงมานี่”
“เป็นไปได้ยังไง เม้ยว่าหม่อมท่องผิดหรือไม่อย่างนั้นก็ท่องไม่ครบมากกว่า” อีเม้ยอ้าง
บัวเงินนิ่งคิดเห็นจริงดังอีเม้ยว่าจึงยอมให้อภัย อีเม้ยได้ทีใส่ไฟต่อว่า บางทีมณีรินอาจใช้มนต์ที่แรงกว่าบัวเงินก็เป็นได้จึงทำให้เจ้าศิริวัฒนาลุ่มหลง
“อีมณีริน” บัวเงินแค้น
สายวันต่อมา คำเที่ยงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาฟ้องมณีรินที่ช่วยบริวารพลิกตากดอกกรรณิการ์ในกระด้ง เพื่อเตรียมเก็บไว้ใช้ย้อมสีจีวรว่า หนานอินคนที่นางใช้ให้ไปเสาะหาฝ้ายกลับมาแล้วแต่ไม่ได้ฝ้ายกลับมาสักดอก เพราะหม่อมบัวเงินให้คนไปกว้านซื้อมาหมดแล้ว
“เป็นไปได้ยังไง” มณีรินไม่อยากเชื่อ
“หนานอินเปิ้นว่า ถ้าไม่ใช้วิธีขู่เข็ญเอากับชาวบ้าน ก็ทำเป็นขอซื้อแต่ให้เงินนิดหน่อยไม่พอยาไส้ชาวบ้านก็เลยต้องยกฝ้ายให้จนหมด”
“เปิ้นคงต้องการเป็นผู้ชนะคนเดียวจริงๆ”
“แล้วทีนี้ เราจะทำยังไงกัน ไม่มีฝ้ายสักดอก แล้วจะทอผ้าได้ยังไง เจ้าริน”
“เอาเถอะ เฮาว่าเฮามีวิธี เอื้อยบัวเงิน เปิ้นน่าจะรู้ว่าการแข่งขันอย่างยุติธรรมมันเป็นยังไง พี่คำเที่ยงรีบเอากระชุนั่นไปเก็บดอกกรรณิการ์มาให้หมด เฮาอยากรู้เหมือนกันว่าต่อให้เปิ้นทอผ้าได้ แต่ถ้าเปิ้นไม่มีดอกกรรณิการ์ย้อมสีจีวร ผ้าเปิ้นจะเอาขึ้นห่มพระธาตุได้ยังไง ถ้าเปิ้นอยากได้ดอกกรรณิการ์ เปิ้นก็ควรจะเอาฝ้ายมาแบ่งปันกัน เราถึงจะแบ่งดอกกรรณิการ์ให้” มณีรินคิดแผนต่อรอง
“มันต้องย้อนเข้าให้ยังงี้ซะบ้าง เนาะ เจ้ารินเนาะไป อีพวกเด็กๆ ไปกับข้า หื้อโวยโวย” คำเที่ยงร้องเรียกเหล่าบริวาร
เพียงครู่เดียว คำเที่ยงก็นำบริวารเข้ามาเก็บดอก กรรณิการ์ในสวนพลางกำชับว่าให้เก็บให้หมด อย่าให้เหลือ แม้แต่ดอกเดียว อีเม้ยพาบริวารของตนเข้ามาถึงพอดี มันตรงเข้าต่อว่าคำเที่ยงและอ้างสิทธิ
“นี่มันต้นไม้ของนายกู พวกมึงจะมาเก็บดอกไปได้ยังไง”
“มึงไม่ต้องมาทำเสียงดัง วางอำนาจใส่กูอีเม้ย ที่ตรงนี้หรือตรงไหนก็ไม่ใช่สมบัติของนายมึงทั้งนั้น เพราะที่นี่เป็นเขตคุ้มเจ้าหลวงโว้ย ท่าทางมึงอยากได้ดอกกรรณิการ์นักละสิ เสียใจด้วยเน้อ พวกกูเก็บหมดแล้วถ้ามึงอยากได้นัก ก็กลับไปบอกนายมึงให้เอาฝ้ายมาแบ่งนายกูซะดีๆ และจะได้เห็นกันว่า ฝีมือทอผ้าใครมันจะแน่กว่าใคร” คำเที่ยงยื่นเงื่อนไข
“ถุย...อีคำเที่ยง นายมึงก็แค่เด็กหัดทอผ้า เผยอจะมาแข่งกับนายกู มึงน่ะแหละกลับไปบอกนายมึง ถ้าอยากได้ฝ้ายกำมือหนึ่ง ก็ให้ไปกราบตีนนายกู กราบทีหนึ่งก็เอาฝ้ายไปกำมือหนึ่ง กูว่าควรจะได้ฝ้ายพอทอแข่งกับนายกู นายมึงคงต้องกราบตีนนายกูจนหลังหักน่ะแหละ” อีเม้ยหัวเราะสะใจ เหล่าบริวารพลอยหัวเราะตาม
“จะเอาดอกมาให้กูดีๆ หรือต้องให้ใช้กำลัง” อีเม้ยวางท่าขู่
“มา...มึงอยากได้มึงเข้ามา” คำเที่ยงถกผ้าซิ่นรอ
อีเม้ยเดินตรงรี่เข้ามาตบคำเที่ยง หวังจะแย่งกระชุดอกกรรณิการ์ แต่คำเที่ยงกอดกระชุแน่นแล้วถีบสวน อีเม้ยหน้าคะมำ คำเที่ยงตามไปซ้ำ ขณะที่เหล่าบริวารต่างจับคู่กันตบตีกันเหมือนโกรธเกลียดกันมาข้ามภพข้ามชาติ เพื่อช่วงชิงกระชุดอกกรรณิการ์
อีเม้ยแพ้หมดรูปหอบสังขารกลับไปฟ้องบัวเงิน บัวเงินแค้นใจเพราะอีเม้ยไม่ได้ดอกกรรณิการ์กลับมาสักดอกเลย แต่เธอไม่ยอมแพ้สั่งให้อีเม้ยส่งคนออกไปขุดขนุนต้นใหญ่เพื่อนำแก่นมาต้มย้อมสีจีวรแทนดอกกรรณิการ์
“อีมณีรินมันคงคิดว่า แค่กูไม่มีดอกกรรณิการ์ กูจะย้อมสีจีวรไม่ได้ละมัง แก่นขนุน รากขนุน  มีถมถืดไป กูไม่จนหนทางง่ายๆหรอก” บัวเงินมุ่งมั่นจะเอาชนะให้ได้
ด้านมณีริน เธอรู้สึกผิดที่ทำให้คำเที่ยงกับบริวารต้องเจ็บตัว และไม่คิดว่างานบุญจะกลายเป็นงานบาปไปจนได้ คำเท่ียงยุให้มณีรินไปฟ้องเจ้าหลวงกับพระชายาเรื่องฝ้าย แต่มณีรินไม่ยอมเพราะไม่อยากให้ทั้งสองไม่สบายใจด้วยเรื่องเล็กน้อย
“เรื่องแบบนี้ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกก๊า เจ้าริน”
“เอาเถอะ เฮาจะถือว่ามารมาผจญไม่ให้เฮาได้บุญเท่านั้นเอง เฮาว่าสติปัญญาเฮายังมี ยังไงก็ต้องมีหนทางออกจนได้น่ะแหละ” มณีรินคิดหาทางออก
ooooooo
มณีรินกับบัวเงินขึ้นเฝ้าเจ้าหลวงกับพระชายา มีเจ้าศิริวัฒนาและเจ้าศิริวงศ์นั่งอยู่ด้วย เจ้าศิริวัฒนาเห็นคำเที่ยงเนื้อตัวเขียวช้ำก็เอ่ยถามว่า ไปทำอะไรมา คำเที่ยงขยับจะฟ้อง แต่มณีรินส่งสายตาปรามไว้ คำเที่ยงจำต้องระงับปากบอกเพียงว่า ตนสะดุดขาตัวเองหกล้มพลางจิกสายตาไปทางอีเม้ยที่ยิ้มเยาะอยู่
“นังเม้ยก็พอกัน สะดุดขาตัวเองหกล้มเหมือนกันรึไง”พระชายามองมาที่อีเม้ยเพราะสภาพไม่ต่างจากคำเที่ยงนัก
อีเม้ยปดว่า มันถูกหมาไล่ บัวเงินรีบแต่งเรื่องต่อ “นังเม้ยมันออกไปนอกคุ้ม ไปหาเตรียมแก่นขนุนมาให้ข้าเจ้าย้อมสีฝ้ายวันห่มผ้าพระธาตุน่ะเจ้า หมาชาวบ้านมันเลยไล่กัดเอา”
“งานนี้แลกกันด้วยเลือด เจ็บตัวกันตั้งแต่ยังไม่ถึงวันงานเลยนะครับแม่เจ้า วันงานคงแข่งกันสนุกแน่” เจ้าศิริวัฒนาอมยิ้ม
“เป็นยังไงบ้างเจ้านางน้อย มีปัญหาอะไรไหม ขาดเหลืออะไรบ้างรึเปล่า”เจ้าหลวงนึกห่วง
“บ่เจ้า บ่มีปัญหาอะหยังเจ้า”มณีรินก้มหน้านิ่งคำเที่ยงกระสับกระส่ายอยากให้นายพูดความจริง บัวเงินได้ทีรีบเย้ย
“เจ้านางน้อย เปิ้นคงจะเร่งวันเร่งคืน อยากให้ถึงวันงานเร็วๆ  เพราะเปิ้นคงอยากจะแสดงฝีมือทอผ้าของเปิ้นเต็มที่แล้วละเจ้า”
มณีรินพยายามสะกดอารมณ์ เจ้าศิริวงศ์เห็นอาการก็นึกสงสัย จึงแอบเรียกคำเที่ยงมาสอบถาม
“วันนี้นายเจ้าไม่สบายรึไง ไม่พูดไม่จา หน้าตาก็เครียดเหมือนโกรธใครมา”
“เจ้ารินเปิ้นกำลังเครียด เรื่องทอผ้าแข่งกับหม่อมบัวเงิน เปิ้นน่ะสิเจ้า”
“แพ้ชนะ เป็นเรื่องธรรมดา ความภาคภูมิใจมันอยู่ที่ได้พยายามอย่างเต็มกำลังแล้วรึเปล่าต่างหาก”
“ก็นี่แหละเจ้า เจ้ารินถึงได้เครียด แพ้ชนะบ่กลัวแต่กลัวการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมมากกว่า เพราะมันเท่ากับเจ้ารินแพ้ตั้งแต่ยังบ่ได้เริ่มแข่ง”
“เจ้าหมายความว่ายังไง คำเที่ยง”
“เจ้าน้อยดูเอาเถอะเห็นแล้วเชื่อรึเปล่าล่ะเจ้า ว่าข้าเจ้าเดินสะดุดขาตัวเองหกล้ม”คำเที่ยงชูแผลให้ดูพลางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าศิริวงศ์ฟังอย่างอัดอั้นตันใจ
หลังบอกเล่าความจริงกับเจ้าศิริวงศ์ไปแล้ว คำเที่ยงก็กลับมาที่เรือน ก็พบมณีรินในชุดทะมัดทะแมงจะออกไปหาไหมออมในป่าละเมาะเพื่อนำมาทอผ้าแทนฝ้ายคำเที่ยงจะค้านแต่มณีรินชิงพูดขึ้นก่อน
“เฮารู้ว่าพี่คำเที่ยงคงคิดว่าเฮาบ้าไปแล้ว แต่คนอย่างเฮาบ่ยอมแพ้อย่างหมดหนทางสู้หรอก ยิ่งเปิ้นอยากให้เฮาแพ้ เฮายิ่งต้องทำให้เปิ้นเห็นว่า เฮาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน เฮาจะออกไปเสาะเก็บไหมออม”
“กินข้าวก่อน แล้วค่อยว่ากัน บ่ดีก๊า พี่หิวไส้จะขาดแล้วเน้อ”คำเที่ยงต่อรอง
“อดข้าวมื้อเดียวน่ะ บ่ตายหรอก แต่ถูกปล้นศักดิ์ศรีไปน่ะมันต้องเจ็บใจไปจนตายเชียวนะพี่คำเที่ยง”มณีรินเดินนำออกไป
คำเที่ยงพยายามฮึดทั้งที่หิว พลางรีบตามเจ้านางน้อยไป
ooooooo
บัวเงินรู้ว่ามณีรินออกไปเก็บไหมออมในป่ามาทอผ้าก็หัวเราะร่วนด้วยความสะใจ เพราะต่อให้เก็บไหมออมหมดป่าเชียงใหม่ก็ทอได้แค่ผ้าห่อคัมภีร์เท่านั้น
“อีพวกนี้มันง่าวนัก ง่าวจริงๆเลยนะเจ้าหม่อม” อีเม้ยผสมโรง
“ไหมออม...ผ้าห่มพระธาตุไหมออม ให้มันทอทั้งชาติ ถึงจะห่มมิดองค์ละ” บัวเงินยิ่งคิดยิ่งขำ
ขณะที่สองนายบ่าวนั่งหัวเราะครื้นเครงอยู่ในเรือน คำเที่ยงหน้าอมทุกข์สุดๆเพราะกว่าจะได้ไหมออมสักรังไม่ใช่เรื่องง่ายๆนางเก็บไหมไปพลางบ่นไปพลางเพราะทั้งคันทั้งร้อนทั้งหิว
“บ่นนัก บ่ได้บุญเน้อ พี่คำเที่ยง” มณีรินล้อขำๆแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
คำเที่ยงกลัวไม่ได้บุญรีบกลับลำ “บ่ ฮ้อนเลย อากาศดีจริงๆบ่คันเลย หมอแต่ดอกไม้ บ่หิวเลย เหมือนอิ่มทิพย์จริงๆ”
เจ้าศิริวงศ์รู้เรื่องมณีรินออกมาเก็บไหมออมจึงตามมาดูแลด้วยความเป็นห่วง พลางตัดพ้อเรื่องที่เธอไม่ยอมบอกว่าไม่มีฝ้าย
“เฮาบ่ใช่คนขี้ฟ้อง อีกอย่างการแข่งขันครั้งนี้มันเป็นเรื่องของเฮากับเอื้อยบัวเงิน”
“โตบ่มีทางชนะเอื้อยบัวเงินได้หรอก ถ้าแพ้แล้วโตจะร้องไห้ขี้มูกโป่งกี่วัน”
“เฮาบ่ใช่เล็กๆถึงจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“บ่ ใช่เด็ก แต่วิธีที่โตทำอยู่ตอนนี้มันเป็นวิธีของเด็กๆ ถ้างั้น ก็บอกมาว่าทำไมถึงเกิดอยากจะชนะ ทั้งที่ทีแรกโตไม่คิดอยากแข่งขันด้วยซ้ำไป”
“ก็ใครล่ะที่บอกว่า ถ้าผ้าของเฮาได้ขึ้นห่มองค์พระธาตุจะฝากเครื่องสักการะขึ้นไปถวายเป็นพุทธบูชาด้วยนะ ใครกัน” มณีรินหลุดออกมา
เจ้าศิริวงศ์อึ้ง มณีรินละอายใจที่หลุดปากบอกความจริงออกไปจึงหันหลังหนี ทำทีเป็นหาไหมง่วน เจ้าศิริวงศ์เดินเข้ามา พยายามมองมณีรินผ่านพุ่มไม้ที่ขวางกั้น แต่มณีรินไม่ยอมสบด้วย
เจ้าศิริวงศ์เก็บไหมได้รังหนึ่งก็เดินมายื่นให้มณีรินด้วยรอยยิ้ม มณีรินเอื้อมมือมารับไหมรังน้อยไป แล้วปั้นยิ้มตอบ
“ขอบใจ” มณีรินเก็บรังไหมใส่กระชุที่คล้องแขนอยู่แล้วรีบเดินหนีเพราะกลัวจะห้ามใจตัวเองไม่อยู่ แต่เจ้าศิริวงศ์ยังตามไม่เลิก จนเธอต้องหันมาถาม “ไม่มีงานมีการทำรึยังไง ถึงได้มาเล่นสนุกเป็นเด็กๆอยู่อย่างนี้”
“ใครบอกว่า เฮาเล่นสนุก เป็นเด็กๆนี่ก็งานของเฮา เหมือนกัน”
“จะเสาะเก็บก็ไปเสาะที่อื่นไป ป่าตั้งออกกว้าง”
“โตไล่เอาก๊า งั้นเฮาไปเน้อ ไปแล้วเฮาก็จะไม่กลับมาอีก เลยเน้อ” เจ้าศิริวงศ์ทำหน้าเศร้าขยับจะออกไป
“เรื่องของโต ใครเขาจะไปว่าอะไรล่ะ” มณีรินแอบมองตามแล้วถอนใจ เอื้อมมือไปเก็บรังไหมรังหนึ่ง แต่ต้องสะดุ้งชักมือกลับทันที เพราะโดนผึ้งต่อยที่ปลายนิ้วก้อย เธอเรียกให้คำเที่ยงมาช่วย แต่เจ้าศิริวงศ์วิ่งพรวดกลับมาทันที แล้วช่วยดูดพิษเอาเหล็กในออกให้ ทั้งสองสบตากันนิ่งเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วกัปชั่วกัลป์
“เจ้าริน อะไรเจ้า งูก่อเจ้า ฮ้องเสียจนพี่ตกใจ” คำเที่ยงวิ่งเข้ามา แล้วต้องตาค้างเพราะเห็นเจ้าศิริวงศ์จับมือมณีรินอยู่
มณีรินรู้ตัวดึงมือออกจากมือเจ้าศิริวงศ์ คำเที่ยงเอ่ยถามว่า เจ้าศิริวงศ์มาได้อย่างไร
“เจ้าอ้าย เปิ้นให้เฮาตามมาดูแลเฮาไปก่อนเน้อ” เจ้าศิริวงศ์เดินออกไป
คำเที่ยงมองตามแล้วหันมาคาดคั้นเจ้านางน้อยด้วยสายตา มณีรินรีบเก็บพิรุธฟ้องว่า เธอโดนผึ้งต่อย
“หน้าตาเจ้าริน บ่ค่อยปวดเท่าไรเลยนี่เจ้า”
“ปวดสิ...ปวดจะต๋าย”
“ผึ้งตัวนี้ท่าทางพิษของมันจะแรงกว่าพิษงูซะอีกนะเนี่ย” คำเที่ยงมึนหนัก
ooooooo
เมื่อกลับมาถึงเรือน มณีรินก็ก้มหน้าก้มตาคัดรังไหมป่าแต่ละรังออกจากเศษผงเศษใบไม้อย่างตั้งใจ เพราะได้กำลังใจดี จนตกค่ำ คำเที่ยงถือตะเกียงน้ำมันคลานเข้ามา
“พี่ปูสะลีกางมุ้งให้เจ้ารินเรียบร้อยแล้วเน้อ...เจ็บก้อยมากไหม เจ้าริน...เจ้าริน”
“เจ้า...อะไรนะพี่คำเที่ยง พี่คำเที่ยงว่าอะไรนะ” มณีรินไม่ทันได้ฟัง
“ช่างหัวมันเต๊อะ คำถามของพี่มันคงไม่สำคัญอะไรหรอก ดึกแล้วเข้านอนเต๊อะ”
“ไหมออมทั้งกระชุนี่คงจะพอทอได้แค่ผ้าผืนน้อยเดียวเนาะพี่คำเที่ยง”
“พอไก่ขัน เราก็จะออกไปเสาะเก็บไหมออมกันอีกไง เจ้ารินเสาะเก็บจนกว่าจะพอนั่นแหละ”
“เลิกพูดจากระทบกระแทกเฮาเสียที พรุ่งนี้เฮาจะทอไหมออมผืนน้อยนี้”
“จะทอได้ยังไง เจ้าริน ยังบ่ถึงวันแข่งขันเลย”
“คงจะมีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละเราถึงจะมีฝ้ายให้ทอแข่งกับเปิ้น ผ้าไหมออมผืนน้อยนี้ เฮาจะปักลายบัวบาน ถวายพระธาตุแทน”
“นิ้วก้อยก็บวมเจ็บขนาดนั้น จะทอผ้าปักผ้ายังไงไหว”
“ไหวสิ...ไหว เฮาบ่เจ็บแล้ว” มณีรินยิ้มมีความสุข
คำเที่ยงเห็นอาการของเจ้านางน้อยก็จำต้องเอ่ยเตือน “เจ้าริน...พี่ก็ได้แต่เตือนเจ้ารินเน้อ จะทำอะไรเจ้ารินก็ต้องนึกถึงพ่อเจ้า แม่เจ้าที่เชียงตุงบ้านเกิดของเฮาไว้ให้มากๆ เน้อ พลาดพลั้งสิ่งใดเปิ้นจะเสียใจที่สุด”
มณีรินชะงักเพราะคำพูดของคำเที่ยงโดนใจอย่างจัง
มณีรินลุกขึ้นมาทอผ้าไหมออมแต่เช้า ขณะที่เธอกำลังเพลินอยู่กับการทอผ้า เจ้าศิริวัฒนาก็แวะมาเยี่ยมเพราะคำเที่ยงไปบอกว่า เจ้านางน้อยของตนถูกผึ้งต่อยเมื่อวานนี้ แถมพี่เลี้ยงตัวดียังช่วยเปิดทางหยิบยามาให้เจ้าศิริวัฒนาช่วยทาให้มณีรินด้วย และบังเอิญว่าอีเม้ยมาสอดแนมพอดี จึงได้เห็นภาพนั้นเต็มตา มันรีบกลับไปฟ้องบัวเงินพร้อมตอกไข่ใส่สี
“เจ้าเปิ้นจับมืออีมณีรินเอาไว้ แล้วก็หอมมือมันด้วย ส่วนอีมณีรินมันก็ดัดจริต ทำท่าเอียงไปอายมา น่าตบแท้ๆ หม่อมเชื่อเม้ยเถอะเจ้า อีนั่นมันต้องเล่นคาถาอาคมแน่ๆ มนต์ฮ้องผัวไงเจ้า นี่ขนาดยังบ่ได้เข้าพิธีอภิเษกเจ้าเปิ้นยังหลงมันหัวปักหัวปําขนาดนี้ ถ้าอภิเษกแล้วมันคงยิ่งไม่เห็นหัวหม่อมหนักกว่านี้เข้าไปอีกนะเจ้า”
“มึงหุบปากมึงได้แล้วอีเม้ย มึงยิ่งพูดกูยิ่งปวดใจ” บัวเงินตวาด
“หม่อมกะเจ้า หม่อมบ่ต้องกลัวหรอกเจ้า ยังไงเม้ยก็จะอยู่ข้างหม่อม จะช่วยหม่อมจนกว่าหม่อมจะสมหวังเจ้า วันพูกทอผ้าแข่ง หม่อมต้องหักหน้ามันให้ได้ เจ้าเปิ้นคงจะกลับมาเห็นหม่อมอยู่ในสายตาบ้างละเจ้า” อีเม้ยให้กำลังใจ
หลังจากเจ้าศิริวัฒนากลับไปแล้ว มณีรินก็เข้าไปต่อว่า คำเที่ยงเพราะไม่ชอบใจที่นางใช้วิธีการน่าละอายมาเรียกร้องความสนใจ
“มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้เจ้ารินใจคอเตลิดเปิดเปิงไปกับคนอื่นละเจ้า” คำเที่ยงแย้ง
“พี่คำเที่ยง เฮากับเจ้าน้อย บ่ได้คิดอะไรต่อกันมากไปกว่าความเป็นเพื่อน เฮารู้ตัวดี ว่าควรจะทำตัวยังไง” มณีรินเดินหนีไป คำเที่ยงมองตามพลางถอนใจ
ooooooo
ไหมออมที่ทอเสร็จถูกขึงอยู่ในสะดึงไม้ มณีรินกำลังปักลวดลายด้วยไหมสีอ่อนหวาน เป็นลายบัวบานอย่างตั้งใจเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเจ้าศิริวงศ์ผุดพรายขึ้นมา ทำให้มณีรินยิ่งมีกำลังใจและมุ่งมั่นจะปักผ้าให้เสร็จภายในคืนนี้
วันที่ทุกคนรอคอยมาถึง ช่างฟ้อนนำขบวนเสด็จ เจ้าหลวง พระชายา เจ้าศิริวัฒนา มณีริน บัวเงิน และเหล่าข้าราชบริพารมาที่หน้าพระธาตุ เพื่อทำพิธีตามราชประเพณี
“วันนี้เป็นวันดีที่พวกเราได้มารวมจิตศรัทธาบูชาคุณพระพุทธร่วมกัน ปีหนึ่งมีเพียงหนเดียวที่พวกเราจะมีโอกาสถวายผ้าห่มองค์พระธาตุของพวกเรา และปีนี้ยิ่งเป็นโอกาสพิเศษ เราไม่ได้ทอผ้าห่มเพียงผืนเดียว แต่เราจะทอถึงสองผืนจากนาทีนี้ไปจนครบ หนึ่งวันเต็มใครทอผ้าเห็นผืนจนย้อมได้เสร็จก่อนกัน ผ้าของผู้นั้นจะได้ขึ้นห่มถวายองค์พระธาตุ ผ้าของใครเสร็จทีหลังก็ได้ห่มถวายฐานองค์ เราขอเริ่มการแข่งขันเดี๋ยวนี้” เจ้าหลวงประกาศ
บัวเงินยิ้มกระหยิ่มใจ มองมณีรินจิกด้วยหางตา พนักงานตีฆ้องให้สัญญาณเริ่มการแข่งขัน บริวารบัวเงินช่วยกันลากกระสอบฝ้ายเข้ามาและเทดอกฝ้ายลง

เจ้าศิริวัฒนาเห็นมณีรินยังยืนเฉยก็แปลกใจหันไปกระซิบกับพระชายา พระชายาเอ่ยถามมณีรินว่าเกิดอะไรขึ้น มณีรินว่า เธอไม่มีบุญบารมีพอเพราะแม้แต่ดอกฝ้ายยังหาไม่ได้จึงขอถอนตัวจากการแข่งขัน

“มันยังไงกันบัวเงิน ทำไมเจ้าถึงมีฝ้าย แต่เจ้านางน้อยไม่มี” เจ้าหลวงมองมาที่บัวเงิน

“ข้าเจ้าก็บ่ฮู้เจ้า พอฮู้ว่าจะต้องทอผ้าถวายห่มพระธาตุ

ข้าเจ้าก็ให้คนข้าเจ้าออกไปเสาะฝ้าย ชาวบ้านที่ฮู้ว่าผ้าผืนนี้จะได้ขึ้นห่มถวายองค์พระธาตุ ก็ศรัทธาให้ฝ้ายข้าเจ้ามาจนหมด ข้าเจ้า บ่ต้องเสียเงินซื้อหา” บัวเงินตีหน้าซื่อ

คำเที่ยงคันปากอยากเถียงแต่พูดไม่ได้ พระชายาหันไปปรึกษากับเจ้าหลวงว่าจะทำอย่างไรดี

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ วันนี้ก็คงไม่มีการแข่งขันละมัง ปล่อยให้บัวเงินทอไปคนเดียวก็แล้วกัน” เจ้าหลวงตัดสิน

“แต่ไหนๆเจ้านางน้อยเปิ้นก็มีจิตศรัทธาจะร่วมบุญวันนี้อยู่แล้ว ถ้าเปิ้นบ่รังเกียจ เปิ้นก็มาเป็นลูกมือปั่นฝ้ายกรอฝ้ายช่วยเด็กๆของข้าเจ้าก็ได้นะเจ้า” บัวเงินยิ้มเยาะ

“เจ้านางน้อยจะว่ายังไง” พระชายาถามความเห็น

มณีรินไม่ทันได้เอ่ยอะไร เจ้าศิริวงศ์ก็เดินเข้ามากลางลานแข่งขัน แล้วตอบแทน “การแข่งขันจะต้องมีขึ้นแน่พ่อเจ้า แม่เจ้า...ฝ้ายสำหรับเจ้านางมณีริน ทอผ้าห่มถวายพระธาตุมาถึงแล้ว” ขาดคำ คนงานชายก็แบกกระสอบฝ้ายมากมายเข้ามาเทลงกองกับพื้น

มณีรินยิ้มได้ดีใจสุดๆขณะที่บัวเงินกับอีเม้ยหน้าถอดสี

ooooooo

“คุณย่าเจ้า คุณย่า ตกลงคุณย่าจะร่วมเป็นเจ้าภาพถวายผ้าห่มองค์พระธาตุรึเปล่าเจ้า” วันดาราเอ่ยถาม

บัวเงินที่นั่งนิ่งจมอยู่ในอดีตได้สติหันมาตวาด “อย่ามายุ่งกับกู...กูไม่เป็นเจ้าภาพอะไรทั้งนั้น บุญกรรมมันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น อีพวกทำชั่วได้ดีมีถมไปอย่ามายุ่งกะกู ไสหัวลงจากเรือนกูไปเดี๋ยวนี้...ไป้”

วันดาราเห็นบัวเงินอารมณ์แปรปรวนรุนแรงจนน่ากลัว ก็รีบกระเถิบถอยออกไป

บัวเงินนั่งอึ้งแววตาเจ็บแค้นหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง

ที่ลานแข่งทอผ้า บริวารบัวเงินเร่งมือช่วยกันตีฝ้ายไล่เมล็ดฝ้ายออกจากดอกเป็นระวิง อีเม้ยไม่ได้ดั่งใจลงไปลุยเอง ขณะที่มณีริน คำเที่ยงตีฝ้ายกับบริวารอย่างสนุกสนาน เวลาผ่านไป บัวเงินกรอฝ้ายเป็นเส้นด้ายละเอียดเสมออย่างชำนาญ ส่วนมณีรินก็กรอฝ้ายได้เส้นละเอียดไม่แพ้กัน เธอเงยหน้าขึ้นมองหาใครสักคน ก็เห็นเจ้าศิริวงศ์แฝงตัวอยู่อีกมุมไกลๆยืนส่งยิ้มให้ มณีรินใจเต้นแรง เรี่ยวแรงที่จะต้องเอาชนะให้ได้ไม่รู้มาจากไหน หัวใจของเธอเหมือนติดปีกบิน และแอบส่งยิ้มตอบกลับไป

ระหว่างที่บริวารกำลังช่วยกันเข็นฝ้าย อีเม้ยก็มาตามให้บัวเงินไปกินข้าวกินปลาเพื่อจะได้มีแรงไว้ทอผ้า แต่บัวเงินกินไม่ลง เพราะแค้นใจที่เจ้าศิริวงศ์ช่วยหาฝ้ายมาให้มณีรินจนได้

“หันอีมณีรินมันลอยหน้าลอยตาแล้ว กูอยากจะบีบคอมันหื้อตายคามือนัก” บัวเงินกัดฟันกรอด

“ใจ๋เย็นๆเต๊อะเจ้า คิดซะว่าดวงมันยังดี หม่อมยังบ่ได้แป๊มันชะหน่อย เอาไว้เริ่มตำหูกแต๊ๆมันจะฮู้สึกผอมเป๋นไม้เสียบผีอย่างมันจะตำหูกได้ซักกี่น้ำกั๋น จะไดหม่อมก็ต้องชนะมันแน่เจ้า” อีเม้ยเอาใจ

บัวเงินหน้าเครียดบอกกับตัวเองว่า ต้องชนะเท่านั้น ขณะที่มณีรินก็ลงแรงช่วยคำเที่ยงและบริวารเข็นฝ้ายกันเป็นระวิง เจ้าศิริวงศ์เดินเข้ามานั่งยองๆลงด้านหลังคำเที่ยง แต่คำเที่ยงไม่ทันเห็นเพราะมั่วแต่พล่าม

“เจ้ารินไปพักเอาแฮงก่อนเต๊อะ เข็นฝ้ายได้อีกหน่อยก่อจะต้องเริ่มตำหูกแล้ว งานนี้ปี้ว่าหม่อมบัวเงินเปิ้นบ่ออมแฮงแน่ ปี้จำได้ติดหูติดตาตอนตี้เจ้าน้อยเปิ้นหื้อคนขนฝ้ายเข้ามาลูกตาหม่อมบัวเงินเปิ้นแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ทำท่าเหมือนจะขาดใจ๋ตายไปซะตอนนั้นหื้อได้ จะว่าไปเจ้าน้อยเปิ้นก็เหมือนพระมาโปรดเหมือนกั๋นเนาะเจ้ารินถ้าบ่ได้เปิ้น ป่านนี้หม่อมบัวเงินก่อคงหัวเราะเยาะเจ้ารินจนเหงือกแห้งไปแล้ว”

“ปี้คำเที่ยงอยากขอบใจ๋เปิ้นก่อขอบใจ๋เลยเน้อ” มณีรินอมยิ้มเพราะเห็นเจ้าศิริวงศ์แล้ว

“โอ้ย...ถ้าเปิ้นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ปี้ก่อว่าจะก้มลงกราบแทบเท้างามๆซักกำนึงอยู่หรอก”

“ถึงกับกราบเชียวรึ” เจ้าศิริวงศ์ล้อ

คำเที่ยงสะดุ้งสุดตัวเมื่อหันไปเห็นศิริวงศ์ นางรีบยกมือไหว้แล้วคลานต้วมเตี้ยมออกไปอยู่ข้างๆมณีรินเพื่อแอบฟังการสนทนา มณีรินถามเจ้าศิริวงศ์ว่า ไปซื้อฝ้ายมาจากไหน

“ลำปูน เฮาบ่ได้ใจ้เงินแม้แต่แดงเดียว จาวบ้านแค่ฮู้ว่าเจ้านางมณีรินจะตอผ้าขึ้นห่มถวายองค์พระธาตุ ก่อเต๋มใจ๋ศรัทธาขอฮ่วมทำบุญกั๋นมาคนละเล็กละน้อย อย่างตี้ตั๋วหันนี่แหละ”

“เฮาจะบ่ทำหื้อจาวบ้านผิดหวัง ขอบใจ๋เน้อ เจ้าน้อย” มณีรินยิ้มให้รู้สึกมีกำลังใจขึ้นเป็นกอง

เจ้าศิริวงศ์ยิ้มตอบแล้วขยับลุกออกไปหาเจ้าศิริวัฒนา

“ที่เจ้าขอลางานไปวันนึงที่แท้ก็ไปหาฝ้ายให้เจ้ารินเปิ้นนี่เอง” เจ้าศิริวัฒนาทัก

“มีงานด่วนอะหยังรึเปล่าครับเจ้าอ้าย”

“บ่มีอะหยังหรอก แต่ความจริงเจ้าน้อยน่าจะบอกปี้ตามตรงว่าเจ้ารินเปิ้นมีปัญหา”

“ทีแรกน้องก็บ่ฮู้ เจ้านางน้อยเปิ้นบ่อยากหื้อปัญหาของเปิ้นเป๋นภาระคนอื่น”

“เจ้ารินเปิ้นเป๋นแม่ญิงตี้งดงามทั้งกายทั้งใจ๋แต๊ๆ ปี้ว่านับวันปี้ก่อยิ่งฮักเปิ้นขึ้นทุกที โตภูมิใจ๋ก่อ ตี้มีปี้สะใภ้อย่างเจ้าริน” เจ้าศิริวัฒนายิ้มปลื้ม
“ภูมิใจ๋ครับ ภูมิใจ๋นักขนาด” เจ้าศิริวงศ์จำต้องตอบออกไป

ooooooo

บัวเงินขยับลงนั่งที่กี่ทอผ้า หยิบกระสวยขึ้นมาเตรียมเริ่มทอเป็นผืน เช่นเดียวกับมณีรินที่ขยับเข้านั่งที่กี่ทอผ้าเหมือนกัน บัวเงินหันไปมองมณีรินพลางยิ้มเหยียด แต่มณีรินไม่ถือสา เธอส่งยิ้มใสซื่อให้บัวเงินเช่นเดิมแล้วลงมือทอผ้า

“มันยิ้มเยาะหม่อมเจ้า...มันคงคิดว่ามันจะเอาชนะหม่อมได้ละมัง หม่อมบ่ต้องกลัว...เดี๋ยวเม้ยจะส่งคนของเรา ไปแกล้งมันเอง แค่แอบไปตัดฝ้ายที่มันปั่นเอาไว้มันก็ทอบ่ทันหม่อมแล้ว” อีเม้ยเข้ามากระซิบ

“อีเม้ย มึงคิดว่ากู ต้องแพ้มันรึไง มึงกำลังดูถูกฝีมือกู”

“เม้ย บ่ได้คิดอย่างนั้น”

“มึงไม่ต้องสาระแน ทำอะไรทั้งนั้น กูต้องการชนะอีมณีรินด้วยฝีมือของกู” บัวเงินประกาศกร้าว แล้วเร่งทอผ้าอย่างเอาจริงเอาจัง เสียงฟืมกระแทกดังหนักแน่นไม่หยุด ผิดกับเจ้านางมณีรินที่ บรรจงทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและประณีตอย่างที่สุดจนคำเที่ยงชักห่วง

“เจ้าริน ได้ซักสองศอกรึยังเจ้า พี่เห็นหม่อมบัวเงินเปิ้น

กระแทกเอาๆไม่รู้เปิ้นไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน ขืนมัวต้วมเตี้ยมทออยู่อย่างนี้ พี่ว่าเจ้ารินจะแพ้เปิ้นเอานา”

“ถึงตอนนี้แล้ว บ่ใช่ว่าเฮาบ่อยากชนะเน้อพี่คำเที่ยง แต่เฮาอยากตั้งใจทำถวายองค์พระธาตุให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ชาวบ้านเปิ้นอุตส่าห์มีศรัทธา แบ่งปันฝ้ายมาให้เฮา เฮาขอความสงบให้เฮามีสติได้คิดถึงแต่พระเถอะ เลิกกวนเฮาเสียที” มณีรินหันมาดุแล้วก้มหน้าก้มตาทอผ้าต่อ

คำเที่ยงจำใจถอยออกมา แล้วหันไปเร่งพวกบริวารที่ปั่นฝ้ายกันเป็นระวิงแทน

ค่ำแล้ว คำเที่ยงกับบริวารเข้ามาจัดอาหารไปให้มณีรินที่ลานแข่งขันและได้พบกับอีเม้ยที่มาจัดอาหารไปให้บัวเงินเช่นกัน อีเม้ยท้าตบกับคำเที่ยง แต่คำเที่ยงปฏิเสธเพราะวันนี้ตนมาทำบุญ

“มึงอยากจะเป็นหมาบ้ามึงก็เป็นของมึงไปคนเดียวละกัน” คำเที่ยงเชิดใส่อีเม้ยและจะเดินออกไป อีเม้ยยื่นขาออกมาขวาง หวังจะให้คำเที่ยงสะดุดหัวทิ่มแต่คำเที่ยงชะงัก “กูรู้ทันมึงหรอกอีเม้ย คนอย่างมึงนี่นอกจากเป็นหมาบ้าแล้ว ยังเป็นหมาลอบกัดอีกต่างหาก” คำเที่ยงกระทืบตีนอีเม้ย แล้วเผ่นออกไป บริวารรีบตาม

“อีคำเที่ยง...ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” อีเม้ยหันกลับมาชนบริวารตัวเอง อีนุงตุงนัง สำรับกับข้าวเรี่ยราด อีเม้ยเอ็ดตะโรโวยวาย แล้วเข้าไปตามบัวเงิน

“หม่อมกะเจ้าหม่อมพักกินข้าวกินปลาเสียก่อนเถอะเจ้า ทอได้เยอะแล้ว”

“กูตาลายไปหมดแล้วอีเม้ย” บัวเงินล้างมือในอ่างจะลุกไปกินข้าว แต่สายตาเหลือบไปเห็นมณีรินยังก้มหน้าก้มตาทอผ้าอยู่ก็ชะงักกึก “กูบ่กิน กูจะแพ้มันบ่ได้” บัวเงินหันกลับไปทอผ้าต่อ

“หม่อมบ่กินแล้วเม้ยจะกินได้ยังไง โธ่ หม่อมกะเจ้า เม้ยหิวจนไส้จะขาดแล้วนะเจ้า” อีเม้ยครวญ

ผ้าชุดแรกของมณีรินกับบัวเงินถูกตัดออกจากกี่ อีเม้ยกับคำเที่ยงนำเหล่าบริวารออกไปช่วยกันย้อมผ้าแต่ไม่วายมีปากเสียงกันอีก อีเม้ยเถียงสู้คำเที่ยงไม่ได้ก็ท้าตบ

“เอ๊ะ อีนี่ พูดจาไม่รู้เรื่อง เอะอะก็ชวนตบชวนตี กูบอกแล้ววันนี้กูไม่ว่าง มึงคึกนักก็ไปกัดกับหมาก่อนละกัน” คำเที่ยงกับบริวารหัวเราะสนุก

“ฝากไว้ก่อนเหอะมึง นายมึงแพ้เมื่อไหร่พวกมึงจะซีด” อีเม้ยขู่

ดึกแล้วผู้คนบางตา มณีรินทอผ้าจนล้า เธอละสายตาจากกี่มองออกไป ก็เห็นศิริวงศ์ยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ที่เดิม มณีรินยิ้มตอบแล้วลงมือทอผ้าต่อ ทั้งคู่มองกันผ่านแสงวอมแวมของดวงประทีปที่วิบวับอยู่รอบๆ

ooooooo

เช้าวันใหม่ขบวนเสด็จนำเจ้าหลวง พระชายา เจ้าศิริวัฒนา กลับมาที่พระธาตุอีกครั้งเพื่อติดตามผลการแข่งขัน บัวเงินและมณีรินเย็บประกอบผ้าจนเสร็จในเวลาไล่เลี่ยกัน พนักงานตีฆ้องเป็นสัญญาณหมดเวลาการแข่งขัน บัวเงินส่งยิ้มเหยียดใส่มณีริน เพราะมั่นใจในชัยชนะ

พนักงานนำผ้าของบัวเงินและมณีรินไปวัดความยาวและขานเป็นวาๆไป จนกระทั่งสุดผ้าก็เกิดเรื่องแต่น่าประหลาดใจเพราะผ้าของทั้งคู่ยาวสามสิบสองวาเท่ากันพอดี

“พ่อเจ้าจะตัดสินยังไงครับ” เจ้าศิริวัฒนาเอ่ยถาม

“ก็นั่นน่ะสิ ผ้าทั้งสองผืนนี่ทอได้ความยาวเท่ากันพอดีอย่างนี้จะตัดสินยังไงล่ะ” เจ้าหลวงหนักใจ

“หม่อมบัวเงินเปิ้นทอเสร็จก่อน เปิ้นเย็บประกอบผ้าก็เสร็จก่อนนะเจ้า” อีเม้ยอ้าง

“เสร็จก่อนหลังไม่ใช่เรื่องสำคัญนังเม้ย กติกาคือทอเป็นผืนและเย็บให้พร้อมห่มถวายพระธาตุในเวลาที่กำหนดเท่านั้น” พระชายาตำหนิ
เจ้าศิริวัฒนาเสนอให้ใช้ผ้าทั้งสองผืนห่มพระธาตุด้วยกัน แต่บัวเงินร้องค้าน

“อย่างนั้น ก็เหมือนไม่ยุติธรรมน่ะเจ้า เจ้าพี่ น้องน่ะไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว แต่น้องไม่มั่นใจว่าเจ้านางมณีรินเปิ้นจะยอม ผ้าของใครจะอยู่ข้างนอกข้างใน มันจะเป็นเรื่องกินแหนงแคลงใจกันเปล่าๆเจ้า”

“ลูกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสินกันด้วยฝีมือความปราณีตเถอะครับ ให้แม่เจ้าเป็นคนตัดสิน” ศิริวงศ์เสนอ “อืม...ก็น่าจะยุติธรรมดีนะ น้องตัดสินเอาเถอะ ในสายตาผู้หญิงน้องว่าผ้าผืนไหนประณีตละเอียดลออ” เจ้าหลวงรับผ้าของมณีรินกับบัวเงินมาส่งให้พระชายา

พระชายาลูบคลำผ้าทั้งสองผืนท่าทางหนักใจ มณีรินรีบออกตัว “ข้าเจ้านับถือว่าเอื้อยบัวเงินเป็นแม่ครูของข้าเจ้าคนนึง วันนี้ข้าเจ้าขอนอบรับคำชม แต่ศิษย์จะฝีมือดีได้ก็เพราะได้แม่ครูที่ดี ข้าเจ้าขอให้เกียรติเอื้อยบัวเงิน ขอให้ผ้าของเปิ้นได้ห่มถวายองค์พระธาตุเถอะเจ้า”

ทุกคนอึ้งกับความเป็นนางเอกของมณีริน อีเม้ยสะใจ บัวเงินลำพอง แต่พระชายาไม่เห็นด้วย

“ผ้าสองผืนละเอียดลออประณีตพอๆกัน แต่ผ้าผืนนี้พิเศษกว่า เพราะเจ้านางน้อยอุตส่าห์ปักไหมออมผืนน้อย เข้ามาด้วย ถ้าจะให้แม่เป็นคนตัดสิน แม่ขอเลือกให้ผ้าของเจ้านางน้อยเป็นผู้ชนะ” สิ้นเสียงพระชายา คำเที่ยงกับบริวารก็เฮลั่น บัวเงินหน้าซีดไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ขณะที่อีเม้ยแทบขาดใจ

“เป็นอันว่า ผ้าของบัวเงินได้ห่มถวายฐานพระธาตุ ส่วนผ้าของเจ้านางมณีรินได้ห่มถวายองค์พระธาตุเน้อ” เจ้าหลวงประกาศ

เมื่อได้ผ้าที่จะใช้ห่มพระธาตุแล้ว พนักงานพิธีก็เข้าประจำที่ตรงเครื่องสักการะหน้าองค์พระธาตุ เจ้าหลวง พระชายา เจ้าศิริวัฒนา เข้ามาไหว้บวงสรวงพระธาตุ มณีรินยังประคองผ้าจีวรในพานตามเข้ามา เจ้าศิริวงศ์ขยับเข้ามาใกล้พลางกระซิบ “จะเป็นการรบกวนโตเกินไปรึเปล่า ถ้าเฮาจะฝากเครื่องสักการะของเฮาขึ้นไปถวายบูชาพระธาตุด้วย”

“ยังไงถึงเป็นการรบกวน” มณีรินตอบ

เจ้าศิริวงศ์ถอดแหวนทองในนิ้วก้อยออก ยกมือขึ้นไหว้แล้วส่งแหวนทองวงนั้นให้มณีริน มณีรินรับแหวนไปแล้วปลดปิ่นทองบนมวยผมออกผูกมัดปิ่นทองของตัวเองร้อยเข้ากับแหวนของเจ้าศิริวงศ์ แล้วผูกเข้ากับเส้นไหมบนผืนผ้าไหมออม เจ้าศิริวงศ์ยิ้มอิ่มบุญ อิ่มใจ มณีรินยืนนิ่งไม่กล้าสบตา

ooooooo

ผ้าจีวรห่มองค์พระธาตุกำลังถูกคลี่ห่มองค์ บัวเงิน อีเม้ยกับบริวาร ยืนมองดูอยู่ไกลๆด้วยความปวดใจ

“หม่อมกะเจ้า เม้ยว่าแม่เจ้าเปิ้นลำเอียงชัดๆไม่รู้จะเอาอกเอาใจมันไปถึงไหน หม่อมเก่งกว่ามันตั้งเยอะ ผ้าของหม่อมก็งามกว่าของมัน มันชนะหม่อมได้ยังไง” อีเม้ยใส่ไฟ

“หุบปาก กูไม่อยากฟัง กูไม่อยากเห็น ตั้งแต่เกิดมากูไม่เคยอัปยศ อดสูอะไรเท่าครั้งนี้เลย กูขอสาบานต่อหน้าพระ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ถ้ามีกูก็ต้องไม่มีอีมณีริน กูจะขอจองเวรจองกรรมกับมันทุกชาติไป” บังเงินอธิษฐาน

พิธีห่มพระธาตุเสร็จสมบูรณ์ เจ้าศิริวัฒนาขยับเข้ามาหามณีริน คำเที่ยงมุดต้วมเตี้ยมเปิดทางให้

“เหนื่อยไหม เจ้าริน” เจ้าศิริวัฒนาเอ่ยถาม

“เสร็จงานแล้วก็หายเหนื่อยแล้วเจ้า” มณีรินตอบสั้นๆ

“อดตาหลับขับตานอนมาทั้งคืนข้าวปลาบ่ได้กิ๋น จะบ่เหนื่อยได้จะไดเจ้าริน” คำเที่ยงรีบทำคะแนนแล้วหันมาทางเจ้าศิริวัฒนา “เมื่อคืนเจ้ารินเปิ้นบ่ยอมละสายตาจากกี่ทอผ้าเลยนะเจ้า ข้าเจ้าบ่ฮู้จะเอาใจจ่วยยังได สงซ้านสงสาร นี่คงจะปวดแขนปวดไหล่ไปหมดใจ่ก๊าเจ้า”

มณีรินแอบตาเขียวใส่คำเที่ยงที่อวดจนออกหน้าออกตา เจ้าศิริวัฒนาเอื้อมมือมาจับมือมณีรินไปกุมไว้

“ถ้ายังงั้นเดี๋ยวเจ้ารินต้องกลับไปพักผ่อนให้มากๆเน้อ พี่จะส่งหมอนวดมือดีๆไปนวดให้ด้วยดีไหม”

มณีรินจะปฏิเสธแต่ไม่ทัน คำเที่ยงที่ตอบรับเสียงใส

“ดีเจ้า”

มณีรินปั้นหน้าไม่ถูกส่งค้อนให้คำเที่ยง แล้วบัวเงินก็ปราดเข้ามาแสดงความยินดีกับมณีรินพลางเอื้อมมือไปจับมือมณีรินมากุม เจ้าศิริวัฒนาจึงต้องปล่อยมือออก

“ตอนที่เจ้านางน้อย ทูลเจ้าหลวงไปว่าขอให้ผ้าของพี่ได้ขึ้นห่มองค์พระธาตุ พี่น่ะซึ้งน้ำใจเจ้านางน้อยจนน้ำตาซึมทีเดียว แม่คุณของพี่...ช่างมีน้ำใจงดงามอะหยังอย่างอี้...งามทั้งกายและใจ๋แต๊ๆ” บัวเงินส่งยิ้มหวานตีบทแตกกระเจิง เจ้าศิริวัฒนายิ้มสบายใจที่เห็นสองเมียกลมเกลียวรักใคร่ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

คำเที่ยงจับจ้องความตอแหลของบัวเงิน แล้วหันมาสบตากับอีเม้ยที่ส่งยิ้มจอมปลอมให้

เมื่อกลับมาถึงเรือน คำเที่ยงก็เอ่ยเตือนมณีรินเรื่องบัวเงิน เพราะสัมผัสได้ถึงรังสีความอำมหิตที่แผ่ออกมา แต่มณีรินปราม ไว้ พลางบอกว่าให้ต่างคนต่างอยู่ คำเที่ยงขยับจะพูดต่อ

“เลิกอู้เรื่องนี้ได้แล้ว เฮาอยากพักผ่อนเต็มที...เฮาจะขึ้นข้างบนแล้ว” มณีรินตัดบท

“นังเด็กๆเตรียมน้ำอุ่นไว้เดี๋ยวนี้ เจ้ารินเปิ้นจะอาบน้ำ” คำเที่ยงสั่ง แล้วแยกออกไป

มณีรินก้าวขึ้นบันได แต่ความอ่อนเพลียอดตาหลับขับตานอนมาทั้งคืน ทำให้หน้ามืดจะเป็นลม ร่างของเธอโงนเงนพร้อมจะร่วงลงมา

“เจ้านางน้อย เจ้านางน้อย” เสียงเจ้าศิริวงศ์ร้องเรียกแล้วปราดเข้ามารับร่างของมณีรินไว้ได้ทัน

ooooooo

เรรินที่นั่งอยู่หน้ากี่รู้สึกเหมือนหน้ามืดจะเป็นลม เพราะใช้สายตาเพ่งทอผ้าในห้องที่มืดสลัวนานเกินไป

“อย่าฝืนเลยวันนี้คุณเหนื่อยมามากแล้วกลับไปพักผ่อน เถอะ เอาไว้วันหลังค่อยกลับมาทอใหม่” เจ้าศิริวัฒนาเข้ามาห้าม

“ฉันอยากรู้ว่า หม่อมบัวเงินทำร้ายฉัน...เอ้อ ทำร้ายเจ้านางมณีรินยังไงคะ”

“ยังมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นอีกมากมายแต่คุณใจเย็นๆเถอะคุณได้รู้แน่ ถึงเวลานั้นจริงๆคุณอาจจะไม่อยากให้อภัยคนที่ทำร้ายคุณเลยก็ได้” เจ้าศิริวัฒนาหันกลับเดินหายเข้าไปในภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นครั้งแรกที่เรรินได้เห็นเจ้าศิริวัฒนาหายไปกับตา เธอจำใจออกมาจากห้องทอผ้า อาศัยความมืดลัดเลาะพาตัวเองออกมาจากตึกแล้วมุ่งหน้าไปทางประตูออกด้านหลัง

สุริยวงศ์ที่ซ่อนตัวอยู่แน่ใจว่าเป็นเรรินออกมาจากห้องทอผ้าแน่ จึงเข้าไปดูข้างใน เขาไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรจึงลองเปิดผ้าขาวที่คลุมปิดผ้าที่ทอไว้ออกดูก็พบว่า ผ้าถูกทอเพิ่มขึ้น สุริยวงศ์ข้องใจ ไม่รู้ว่า เรรินทำไปเพื่ออะไร

เมื่อออกมาจากคุ้มได้แล้ว เรรินก็แวะทานอาหารที่ร้านข้างทาง และได้พบกับธนินทร์ที่สวมบทพระเอกผู้น่าสงสารเข้ามาขอคุยด้วย เรรินรีบลุกหนีเพราะไม่ไว้ใจ แต่ธนินทร์ก็ตื๊อไม่เลิก เขาขอไปส่งเธอที่รีสอร์ตเป็นครั้งสุดท้าย เพราะอยากให้จากกันด้วยความรู้สึกดีๆ

เรรินใจอ่อนยอมขึ้นรถไปกับธนินทร์ และไม่ทันเห็นว่ามีใครคนหนึ่งแอบตามเธอไปห่างๆ

ด้านธนินทร์เขาเริ่มร้องไห้ฟูมฟาย ตัดพ้อเรรินที่ไม่ยอมให้โอกาสเขาได้แก้ตัวอีกสักครั้ง

“คุณอย่าพยายามผูกมัดตัวเองด้วยคำสัญญาเลย เพราะคุณก็รู้ว่าคุณทำไม่ได้ตามที่จะสัญญา ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงคุณได้ เราอย่าฝืนความเป็นจริงกันอีกต่อไปเลยถึงยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เหรอคะ”

“นั่นสินะครับริน...ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้” ธนินทร์เช็ดน้ำตาทำเบิกบาน

เรรินโล่งใจคิดว่าธนินทร์คิดได้ แต่เธอคิดผิด เพราะธนินทร์กลับหลอกเธอมาที่โรงแรมม่านรูดและจะใช้กำลังข่มเหง เรรินตอบโต้ ทุบตีจิกข่วนป้องกันตัวเองสุดฤทธิ์ ธนินทร์ยิ่งเจ็บก็ยิ่งบ้าคลั่ง

แต่เรรินสบโอกาสจะวิ่งหนีออกมา แต่ธนินทร์คว้าคอกระชากทำให้สร้อยเงินที่คล้องพระป้องกันตัวหลุดขาดกระเด็น เรรินท่าทางจะเพลี่ยงพล้ำเป็นแน่แท้

พลัน...ประตูถูกถีบอย่างแรงหลายครั้งจนพัง ธนินทร์ชะงักเมื่อหันไปเห็นสุริยวงศ์พุ่งเข้าถีบ พลางไล่ให้เรรินหนีไป เมื่อตั้งหลักได้ก็ถลันเข้าจัดการสุริยวงศ์ แต่ก็โดนสวนชุดใหญ่ จนลงไปนอนกองเพราะสิ้นฤทธิ์

ooooooo

No comments:

Post a Comment

My Blog List