เป็นความบังเอิญที่วันนี้สายทิพย์ไปเจอวิมาดาที่ห้างสรรพสินค้าในแผนกเสื้อผ้าสตรีที่ทั้งคู่ไปเลือกซื้ออยู่ พอเห็นสายทิพย์วิมาดาก็เดินเลี่ยงไป สายทิพย์เรียกไว้บอกว่าไม่ต้องกลัวตนไม่ด่าหรือตบเธอหรอก
วิมาดายังจะเดินเลี่ยงไป สายทิพย์บอกให้เธอเลือกซื้อที่นี่เสียตนจะไปร้านอื่นเองเพราะไม่อยากใส่เสื้อผ้าแบรนด์เดียวกับเมียน้อย วิมาดาโมโหพูดดูถูกธนูว่าตนไม่ได้พิศวาส อะไรเลย หวงนักก็จับมัดไว้ที่บ้านเสีย
ก่อนไปวิมาดายังเอาชุดที่ตัวเองเลือกไว้ซึ่งค่อนข้างเซ็กซี่โยนใส่สายทิพย์บอกให้หัดปรับปรุงตัวเองเสียบ้างแต่งหน้าตาให้เข้มจะได้ดูสดใสใส่เสื้อผ้าเซ็กซี่จะได้มัดใจสามี
วิมาดาไปแล้ว สายทิพย์คิดๆ แล้วตัดสินใจซื้อชุดที่วิมาดาโยนใส่เมื่อครู่นี้แต่พอธนูกลับมาคืนนี้ เขามองเธออย่างแปลกใจที่แต่ง หน้าเข้มถามว่าที่คณะมีงานหรือแต่งหน้าจัดจัง ครั้นเห็นชุดที่ใส่ก็มองอย่างแปลกใจ สายทิพย์ถามว่าแต่งแบบนี้สวยไหม
ธนูมองแล้วติงว่าโป๊ไปหน่อย เตือนให้ไปล้างหน้าล้างตาเสีย น้ำหอมที่ใส่ก็ฉุนไปเดี๋ยวลูกจะแพ้ เมื่อสายทิพย์ ตัดพ้ออย่างน้อยใจที่เขาหมางเมินต่อตนถามว่าไม่รักตนแล้วใช่ไหม พลางเข้าไปกอดไว้อ้อนๆ
ธนูผลักเธอออกถามว่าจะบ้ารึไง ไล่ให้ไปส่องกระจกดูตัวเองซิ ดูได้เสียที่ไหน พูดอย่างหงุดหงิดว่า “อย่าทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองหน่อยเลย ผมไม่ชอบ จำเอาไว้ ผมรักคุณอย่างที่คุณเป็น”
“แต่ฉันอยากให้คุณรักฉันเหมือนที่คุณรักวิมาดา” พูดแล้วร้องไห้ออกมา ธนูมองอย่างรำคาญแล้วผลุนผลันออกจากห้องไปเลย
ooooooo
คืนนี้ที่บ้านอัคราช ทุกคนพากันตกใจเมื่อสไบนางตีฆ้องร้องป่าวประกาศลั่นว่ามีข่าวดีจะมาบอกข่าวดีที่ว่าคือ เธอสอบติดศิลปากร แต่พอวิจิตรากับเมธาวีฟังแล้วก็พูดอย่างเย็นชาว่า สอบติดจะแปลกอะไรสอบไม่ติดสิถึงจะแปลก เสียเวลาจริงๆ
มีแต่คุณหญิงกับบังอรเท่านั้นที่แสดงความดีใจด้วย คุณหญิงบอกหลานสาวว่า
“ตั้งใจเรียนนะลูก เอาให้ได้เกียรตินิยมเหมือนพี่เมเขานะ”
สไบนางฟังแล้วเซ็งไปเลย
แต่เพราะคุณย่าอยากให้แน่ใจ วันนี้สไบนางจึงจะไปดูผลสอบให้เห็นกับตา เจออาทิตย์เข้าที่กลางซอย พอรู้ว่าจะไปดูผลสอบ เขาอาสาพาไปส่ง สไบนางถามประชดว่าจะมาหาเมธาวีไม่ใช่หรือ เขาบอกว่าไม่ได้นัดไว้แต่ไม่มีอะไรทำเลยแวะมา ทั้งยังบอกว่าถ้าสอบได้จริงจะเลี้ยงข้าวมื้อหนึ่ง สไบนางขอแถมของขวัญอีกชิ้นหนึ่งด้วย
ปรากฏว่าสอบได้จริงๆ สไบนางบอกให้ไปซื้อลาบ ส้มตำ น้ำตก เอาแบบเซ็ตใหญ่จะเอากลับไปกินฉลองที่บ้านกับคุณย่า ส่วนของขวัญเธอพาไปซื้อชุดนางรำชุดใหญ่เพื่อเอามารำในวันเกิดคุณย่า
พอกลับมาถึงบ้านก็พากันไปปูเสื่อนั่งพับเพียบกินลาบ ส้มตำ น้ำตกกันอย่างครึกครื้น เมธาวีมาดูเบ้หน้าบ่นว่าคุณย่านั่งกับพื้นนานๆเดี๋ยวก็ปวดขาอีก แต่คุณหญิงกลับยิ้มแย้มบอกว่าไม่เป็นไร นานๆที
เมธาวีฟังแล้วหงุดหงิดเดินออกจากบ้าน เจออุปมาขับรถเข้ามาพอดี อารมณ์เธอเปลี่ยนฉับพลันทั้งดีใจทั้งเขิน แต่รักษาฟอร์มทำเป็นยกโทรศัพท์มือถือขึ้นพูดติดพัน พออุปมาทักเธอก็ทำเป็นถามว่ามาหาคุณย่าหรือ แล้วทำท่าจะขึ้นไปบอกคุณย่า
อุปมารู้ทันส่งสายตาหวานคมกริบให้จนเมธาวีไม่กล้าสบตาทำเป็นรีบเดินขึ้นไป ลืมไปว่าตัวเองฟอร์มทำเป็นคุยโทรศัพท์อยู่ พออุปมาทักว่า “เพื่อนอยู่ในสายนะครับ” เธอก็ตกใจรีบยกขึ้นพูด ลนจนพูดซ้ำประโยคเดิมว่า “อยู่บ้าน... เดี๋ยวบ่ายๆจะออกไปข้างนอก”
อุปมายิ้มอย่างรู้ทันว่า ที่แท้เธอก็สนใจตนมากจนเขินได้ถึงขนาดนี้...แต่ยังทำฟอร์มอยู่เท่านั้น
เมื่อเมธาวีเข้าไปบอกคุณย่าว่าอุปมามาขอพบ สไบนางโพล่งไปทันทีว่าบอกให้เขากลับไปก่อนเถอะมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่คุณหญิงบอกเมธาวีให้ไปบอกอุปมาขึ้นไปรอที่ห้องรับแขกเล็กได้เลย
เมื่อเมธาวีไปบอกอุปมา เขาขอบคุณ เธอพยักหน้าให้สาวใช้พาไป อุปมาพูดขึ้นก่อนที่เธอจะเดินเลี่ยงไปว่าดูเหมือนเธอไม่ค่อยยินดีต้อนรับตนเท่าไหร่เลย เพราะไม่เห็นยิ้มสักนิด
พอหญิงสาวบอกว่าตนเป็นคนยิ้มยาก อุปมาจ้องตานิ่งบอกว่าจะทำให้เธอยิ้มให้ได้ เธอตัดบทว่าเดี๋ยวคุณย่ารอนาน ครั้นอุปมาฉวยโอกาสว่าคราวหน้าจะขอเป็นแขกเธอบ้างได้ไหม เมธาวีแทบทนกับสายตากรุ้มกริ่มของเขาไม่ได้ตัดบทว่า
“แขกคุณย่าก็เหมือนแขกของเราทุกคน ขอตัวนะคะ” พูดแล้วเดินเลี่ยงไป อุปมามองตามอย่างพอใจ
แต่ข้างหลังอุปมา ชันษาแอบดูอยู่ เขาจ้องมองอุปมาอย่างไม่พอใจด้วยความหึงหวงเมธาวี
ooooooo
ความเกลียดชัง ทำให้สไบนางตามมาราวีอุปมาถึงห้องรับแขกที่คุณหญิงนั่งคุยกับเขาอยู่ เธอมาแสดงความก้าวร้าว ยียวน เมื่อคุณหญิงให้สวัสดีอุปมา เธอก็ยื่นมือจะไปเช็กแฮนด์ พอถูกคุณหญิงดุก็ชักมือกลับอ้างว่า
“ยังกินไม่อิ่มเลยค่ะคุณย่า ติดไว้ก่อนนะ กินอิ่มแล้วเดี๋ยวล้างมือมาไหว้ใหม่”
ครั้นคุณหญิงถามว่าอุปมาทานอะไรมาหรือยังเรามีอาหารอีสานอยู่ทานเป็นรึเปล่า สไบนางก็ลอยหน้าพูดลอยๆ ว่าจะกินได้รึต้องใช้มือจกอาหารเข้าปาก แล้วทำท่าน่าเกลียดให้ดู
“เดี๋ยวเถอะนะบี เล่นไม่เลิกนะ คุณอุปมาเขาไม่คุ้นเคย กระดากตาย” คุณหญิงปราม
“เรากินกันอย่างเปิดเผยต้องกระดากอายทำไมคะคุณย่า” แล้วมองหน้าอุปมาพูดแขวะ “ดีกว่าแอบลักเขากินขโมยเขากินเป็นไหนๆ”
“เรามีความพอใจเป็นของตัวเอง เป็นสิทธิส่วนบุคคล คนอื่นที่ชอบก้าวก่ายเรื่องของเราเกินไป ควรเรียกว่าอะไรดี” อุปมาย้อนถามอย่างรู้ว่าถูกแขวะ
“สอด แส่ สาระแน หรือ...” พูดได้แค่นั้นก็ถูกคุณหญิงเรียกปราม อุปมาบอกว่าไม่เป็นไร แต่คุณหญิงไม่ยอมตำหนิสไบนางว่าทำไมพูดจาก้าวร้าวพี่เขาขนาดนี้ เขาทำอะไรให้เรา
“บีไม่อยากเล่าให้คุณย่าฟังหรอกค่ะ บางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะเป็นโชคดีของครอบครัวฝนก็ได้ ถ้าผู้หญิงเลวๆคนนึงจะโดนผู้ชายที่เลวคู่ควรกันลากไปให้พ้นชีวิตพี่สาวฝนเสียที” สไบนางกระแทกเสียงใส่แล้วลุกขึ้นพูดลอยๆ “เย็นนี้ไม่ต้องเรียกนะคะ บีไม่ทานข้าว” พูดแล้วค้อนตาเขียวใส่อุปมาอีกทีก่อนไป
คุณหญิงพยักหน้าให้บังอรตามไป พอบังอรไปแล้วคุณหญิงขอโทษอุปมาแทนหลานสาว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเจอฤทธิ์เดชเขาจนชินแล้ว” พูดแล้วตัดบทบอกคุณหญิงว่า “ผมจะมาเรียนให้ทราบว่าพ่อผม กับลุงประมุขคงจะเดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมกัน”
ข่าวนี้ทำให้คุณหญิงแอบกังวลใจไม่น้อย
ooooooo
เมื่อบังอรมาคุยเรื่องการจัดเตรียมงานด้านอาหารวันแซยิดให้ฟัง คุณหญิงบอกว่าประมุขจะกลับมาพร้อมกับพ่อของอุปมาในวันนั้นด้วย บ่นว่า คราวนี้ประมุขไปนานเหลือเกินจนวิจิตรางุ่นง่าน...งุ่นง่าน
“พ่อคุณอุปมานี่สนิทกับคุณประมุขมากเหรอคะ บังอรไม่เคยเห็นคุณท่านพูดถึงเลย”
คำถามของบังอร ทำให้คุณหญิงนิ่งไปนานกว่าจะเล่าให้ฟังว่า
บารมีกับประจักษ์นั้นสนิทสนมกันเพราะชอบปลูกต้นไม้ทำไร่ทำสวนเหมือนกัน แต่ประมุขนั้นสำรวยสำอาง อีกทั้งเมื่อสอบเข้าเรียนนายร้อยได้ก็ยังดูถูกน้องชายอีก
“แล้วทำไมคุณบารมีถึงย้ายไปอยู่เมืองนอกเสียล่ะคะ” บังอรช่างสงสัย
“จะว่าเป็นคราวซวยก็ได้นะ เจ้านายพ่อมี ไปมีปัญหากับกลุ่มอิทธิพลเข้า พ่อมีก็เลยโดนร่างแหไปด้วย” คุณหญิงสีหน้าเครียดขึ้น ถอนใจยาวเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต
“คราวซวย” ที่คุณหญิงพูดถึงคือ เศรษฐีเทียนกับลูกชายคือบารมี ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับพวกค้าอาวุธสงครามเจ้านายสั่งประมุขให้ไปจับให้ได้คาหนังคาเขาคืนนั้นเลย ประมุขรับคำ สั่งสีหน้าเครียดจัดแต่ก็ต้องไป
ประมุขนำกำลังไปตรวจค้นที่บ้านเศรษฐีเทียน เขาบอกบารมีว่า สายข่าวแจ้งว่าพ่อเขากับตัวเขาพัวพันกับพวกค้าอาวุธสงคราม ตนต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แล้วสั่งค้นให้ทั่ว
เศรษฐีเทียนกับแม่ของบารมีบอกให้เขารีบพาศรีอำไพน้องสาวหนีไปทางหลังบ้านก่อน บารมีพาน้องไปบอกพ่อกับแม่ว่าให้ระวังตัวด้วย เศรษฐีเทียนกับภรรยาเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความกังวล
ไม่นานประมุขก็แจ้งว่าค้นพบอาวุธสงครามร้ายแรงซ่อนอยู่ในตู้ แม้ว่าเศรษฐีเทียนและภรรยาจะชี้แจงอย่างไรก็ไร้ผล ประมุขบอกทั้งสองให้ไปให้การที่โรงพักดีกว่า
ประมุขกวาดตามอง ถามหาบารมีว่าหายไปไหน เศรษฐีเทียนไม่ตอบแต่ค่อยๆล้วงปืนที่เหน็บเอวออกมา
บารมีพาศรีอำไพหนีไปทางหลังบ้าน ครู่หนึ่งเขาได้ยินเสียงปืนปะทะกัน สองพี่น้องตกใจมาก บารมีรีบพาน้องหนีไปตามร่องสวน
ปรากฏว่าเศรษฐีเทียนกับภรรยาถูกยิงตายคาชานบ้าน จากนั้น ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งก็จุดไฟปาระเบิดเผาบ้านเศรษฐีเทียนไหม้เป็นจุล
“น่ากลัวจังเลยนะคะ แล้วสองพี่น้องหนีพ้นไหมคะคุณท่าน” บังอรถาม คุณหญิงถอนใจก่อนพยักหน้า
ooooooo
คุณหญิงเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า บารมีพาน้องที่หนีตายมาหาตนที่บ้าน ฝากน้องไว้กับตนซึ่งบารมีเรียกว่าคุณน้า และฝากขัตติยาคู่หมั้นของเขาด้วย เพราะเกรงจะถูกพวกมันมาจับตัวไป บอกว่าเขาจะหาทางติดต่อกับขัตติยาให้มาพึ่งบุญคุณน้าด้วยอีกคน
คุณหญิงรับปากด้วยความเต็มใจ บอกบารมีให้รีบหลบไปก่อน ตนจะช่วยดูแลทั้งน้องและคู่หมั้นของเขาให้ดีที่สุด เชื่อว่าไม่มีใครกล้าบุกรุกเข้ามาในที่ดินของตน
บารมีก้มกราบน้ำตานองหน้า คุณหญิงเองก็น้ำตาท่วมย่อตัวลงลูบหัวบารมีด้วยความสงสารจับใจ
“ผมไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นตายร้ายดียังไง ฝากคุณน้าตามข่าวแทนผมด้วย” บารมีเอ่ย
“เชื่อน้านะ พ่อแม่เราเป็นคนดี จะต้องปลอดภัย”
ทันใดนั้น ประจักษ์วิ่งเข้ามาบอกว่ามีตำรวจมาหน้าบ้าน บารมีถามว่าแล้วศรีอำไพล่ะ ประจักษ์บอกว่าตนพาไปซ่อนแล้ว ส่วนคุณหญิงก็เร่งให้บารมีรีบไปเสีย ตนจะถ่วงเวลาตำรวจไว้ที่นี่เอง
เมื่อบารมีหนีไปแล้ว คุณหญิงกับประจักษ์ก็จูงมือกันออกไปรับหน้าตำรวจต่างใจเต้นไม่เป็นส่ำ
คุณหญิงเล่าอีกว่า ไม่กี่วันต่อมาบารมีก็ย้อนกลับมา แต่ตนบอกให้หนีไปเพราะเรื่องยังแรงอยู่ คุณหญิงเดาใจบารมีเวลานั้นว่า “คงเพราะรู้ข่าวจากปากชาวบ้านว่า พ่อแม่ถูกยิงตายบ้านถูกไฟเผาวอดทั้งหลัง”
บังอรถามว่าตกลงเป็นฝีมือใครกันแน่ คุณหญิงเองก็ไม่รู้เพราะพูดกันไปต่างๆนานา ส่วนเรื่องเผาบ้านก็ว่าเป็นมือที่สาม เพราะประมุขกับทหารตำรวจวันนั้นก็แทบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน
ส่วนขัตติยานั้น คุณหญิงเล่าอย่างไม่เต็มเสียงว่า เธอรอบารมีแต่สุดท้ายก็แต่งงานไปกับคนอื่น พูดอย่างผ่านๆว่า “ไอ้ข้อนี้เราก็ว่ากันไม่ได้ จริงไหมแม่บังอร”
หลังจากนั้น บารมีก็ไม่ได้มาที่นี่อีก จนได้ข่าวว่าจะมาในงานวันเกิด ก็อดตื่นเต้นไม่ได้
“ฉันเสียใจอยู่เรื่องนึง รับฝากน้องสาวเขาเอาไว้ รับปากมั่นเหมาะว่าจะดูแลอย่างดีที่สุด สุดท้ายก็คืนน้องสาวให้พ่อมีไม่ได้ เหลือแต่หลานของเขาเท่านั้นแหละ ถ้าเขาขอรับคืนไปก็ไม่รู้ว่าฉันจะทำใจได้แค่ไหน” ยิ่งเล่าคุณหญิงก็ยิ่งเศร้า
แต่พอบังอรถามว่าหลานของบารมีคือใคร คุณหญิงก็ตัดบทว่า เหนื่อยแล้ว ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง บังอรจึงจัดที่และห่มผ้าให้คุณหญิงก่อนออกไป
แต่พอบังอรออกไปแล้ว คุณหญิงนอนลืมตาในความมืด หยุดความคิดที่เป็นเหมือนรอยมารในจิตใจตัวเองในอดีตไม่ได้
ooooooo
ธนูระแวงว่าวิมาดาจะมีคนอื่น เขาสะกดรอยเธอไปจนเห็นเข้าไปในบริษัทบุญอนันต์อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต จึงรีบโทร.ให้เพื่อนเช็กว่าบริษัทนี้เป็นของใคร แล้วคอยอยู่ตรงนั้น จนเพื่อนแจ้งมาเขาถามว่า
“บารมี บุญอนันต์ รวยมากไหม หนุ่มหรือแก่ มีลูกมีเมียรึยัง” ฟังปลายสายแล้วบอกเพื่อน “เอาน่ะ มึงช่วยสืบต่อให้กูทีแล้วกัน”
ฝ่ายวิมาดาหิ้วอาหารมาฝากอุปมา จัดให้ทานแล้วฉอเลาะชวนไปดูหนังสนุกๆกันสักเรื่อง ชายหนุ่มตอบอย่างถนอมน้ำใจว่า เย็นนี้ตนมีนัดแล้วไว้วันหลังก็แล้วกัน
ครู่หนึ่งวิมาดาออกจากบริษัทมาขึ้นรถขับออกไป ธนูซุ่มดูตาไม่กะพริบ แต่หารู้ไม่ว่า ที่แท้เป็นอุบายของวิมาดาล่อให้เขาตามตนมาที่บริษัทนี้เพื่อแผนการบางอย่างที่จะดำเนินต่อไป
ooooooo
ฝ่ายสไบนางน้อยใจคุณย่าที่ดุตนต่อหน้าอุปมาพูดขู่ๆกับบังอรไว้ว่าสักวันจะหนีไปจากบ้านนี้ แล้วเธอก็ทำจริงๆด้วยการหลบไปอยู่บ้านหยาดฝน นั่งเล่นนอนเล่นแกล้งให้คนที่บ้านอัคราชตามหากันวุ่นวายไปหมด
ไทยรัฐออนไลน์
- โดย บทประพันธ์ พัดชา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ผิน เกรียงไกรสกุล
- 16 กันยายน 2554, 09:05 น.
No comments:
Post a Comment