Sunday, September 11, 2011

อ่านบทละคร รอยมาร ตอนที่ 1


เช้านี้ ที่หน้าบ้านไทยประยุกต์ บรรยากาศครึกครื้นรื่นเริงด้วยขบวนขันหมากที่มีดนตรีบรรเลงมีผู้เฒ่าผู้แก่และเด็กลอยหน้ารำกันเฉิบๆ อยู่หน้าขบวน
เป็นขบวนขันหมากของอุปมาหรือมาร์ค หนุ่มลูกครึ่งพ่อไทยคือบารมี และแม่อเมริกันอาหรับคือซาร่า เพื่อไปสู่ขอเมธาวีหรือเม ลูกสาวของประมุขกับวิจิตรา ที่บ้านของคุณหญิงรุจา อัคราช ผู้เป็นย่า
บรรยากาศครึกครื้นกลายเป็นตึงเครียดทันที เมื่ออุปมาในชุดเจ้าบ่าวควงแขนซาร่าเดินลงบันไดมา ถูกวิมาดาที่เป็นคนรักเก่า นั่งรถคันหรูเข้ามาทวงถามความรักที่เคยมีต่อกันด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“มาร์ค ทำกับวิแบบนี้ได้ยังไง มาร์คไม่รักวิแล้วเหรอคะ” วิมาดาโผเข้ากอดอุปมาร้องไห้โฮๆ
ooooooo
ส่วนที่บ้านคุณหญิงรุจา บังอรคนสนิทของคุณหญิง ไปเคาะประตูเรียก บีหรือสไบนาง หลานสาวคนเล็กของตระกูลอัคราช ลูกสาวของประจักษ์กับศรีอำไพซึ่งเสียชีวิตแล้วทั้งคู่ สไบนางจึงอยู่ในความดูแลของคุณย่าตลอดมา
บังอรเคาะประตูปลุกสไบนาง เร่งให้รีบแต่งตัวเพราะขบวนขันหมากจะมาถึงแล้ว สไบนางลุกพรวดร้องบอกว่า
“ตื่นแล้วค่ะคุณบังอร บีอาบน้ำก่อนนะคะ” เธอกระโดดแผล็วจากเตียงวิ่งตึงตังไปเข้าห้องน้ำ
ส่วนที่ห้องเมธาวี ยังปิดประตูเงียบ จนช่างแต่งหน้าแต่งผมต้องไปตามวิจิตรามาเพราะเกรงจะแต่งหน้าแต่งผมไม่ทัน วิจิตราเอากุญแจไขห้องเข้าไปอย่างเร็วแล้วก็ต้องแจ้นไปบอกประมุขกับคุณหญิงว่าไม่รู้ว่าเมธาวีหายไปไหนแล้ว
“รึว่ายัยเมจะรู้ความจริงว่าต้องแต่งงานเพราะอะไร” คุณหญิงมองหน้าประมุขอย่างหนักใจ
“งานล้มไม่ได้เด็ดขาดนะคะคุณแม่ เสียหน้าตายเลย แขกผู้ใหญ่ทั้งนั้น นี่นักข่าวก็มารอทำข่าวอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมดแล้ว เราจะทำยังไงกันดีคะ” วิจิตราโพล่งขึ้น
“ไม่มีเจ้าสาวแล้วจะให้พ่ออุปมาแต่งงานกับใครล่ะจิตรา” คุณหญิงเสียงขุ่น
“ถ้าเราเปลี่ยนตัวเจ้าสาวตอนนี้ก็ยังทันนะครับคุณแม่” ประมุขเสนอหน้าขรึม วิจิตรากับคุณหญิงหันมองเขาขวับ
ระหว่างที่บ้านไทยประยุกต์กำลังวุ่นๆ นั่นเอง บารมีก็ได้รับโทรศัพท์จากประมุข บอกให้หยุดขบวนขันหมากไว้ก่อนแล้วให้รีบมาที่บ้านตนเดี๋ยวนี้เลย
“มีเรื่องอะไร” บารมีถาม เหลือบมองไปทางอุปมาที่กำลังโต้เถียงกับวิมาดาอยู่อย่างหนักใจ
ooooooo
ที่บ้านอัคราช เวลาผ่านไป แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายเริ่มทะยอยกันมาแล้ว ทั้งคุณหญิงที่บินตรงจากอังกฤษเพื่อมาร่วมงานนี้โดยเฉพาะ และหม่อมเกศ หญิงฉัตร วิจิตราต้อนรับแขกอย่างยิ้มแย้มยินดี แต่พอแขกถามว่ารดน้ำไปแล้วหรือยัง วิจิตราก็ยิ้มแหยๆบอกว่า
“ยังเลยค่ะ ฤกษ์คลาดเคลื่อนนิดหน่อยน่ะค่ะ น่าจะอีกสักครึ่งชั่วโมงนะคะ”
ขณะที่วิจิตราต้อนรับแขกรับหน้าสถานการณ์อยู่นั้น ที่ห้องทำงานของคุณหญิงรุจา ทั้งคุณหญิง ประมุข และบารมีกำลังคุยกันอย่างตึงเครียด
บารมีไม่เห็นด้วยที่จะเอาบีมาเกี่ยวข้องด้วย เธอไม่ควรเสียหายเพราะเรื่องนี้ แต่ประมุขยืนกรานว่าบีนั้นคืออัคราชคนหนึ่งก็ต้องร่วมชดใช้ด้วย ถูกบารมีตำหนิว่าพูดเห็นแก่ได้ ประมุขตัดบทเอาดื้อๆว่า
“ถ้าแกไม่ยอมรับบีเป็นเจ้าสาว หนี้สินทั้งหมดก็ถือว่าหายกัน”
คุณหญิงรุจาแทรกขึ้นอย่างหนักใจว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน ให้ช่วยกันคิดหาทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ก่อนจะดีกว่า
“ผมก็หาทางออกให้อยู่นี่ไงครับคุณแม่” ประมุขโต้แล้วหันไปทางบารมี “ลูกชายแกก็ไม่ได้รักอะไรยัยเมอยู่แล้ว ยอมแต่งเพื่อความสาแก่ใจของแกเท่านั้น จะเปลี่ยนเจ้าสาวเป็นอัคราชคนไหนก็มีค่าเท่ากัน”
บารมีสบตาคุณหญิงรุจา ถูกประมุขเร่งรัดว่า “จะเอายังไงก็รีบตัดสินใจ แขกเหรื่อมากันเต็มบ้านแล้ว ผมไม่อยากขายขี้หน้าเอาตอนแก่” คุณหญิงติงว่า ไม่ว่างานล่มหรือเปลี่ยนตัวเจ้าสาวมันก็ขายขี้หน้าไม่ต่างกัน ประมุขเถียงทันทีว่า “ต่างสิครับคุณแม่ ถ้างานแต่งล่มเพราะแกไม่รับยัยบีเป็นเจ้าสาวมันก็เท่ากับว่าแกปฏิเสธการใช้หนี้ ยอมยกหนี้สินทั้งหมดให้ฉันเอง”
บารมีจ้องหน้าประมุขอย่างชิงชัง บอกแทนคำตอบว่า
“ขบวนขันหมากจะมาถึงหน้าบ้านแกภายใน 15 นาที”
ooooooo
คุณหญิงรุจากับประมุขไปคุยกับสไบนางที่ห้องนอน เธอกอดคุณย่าร้องไห้ไม่ยอมแต่งงานกับอุปมา บอกคุณย่าอย่างมีอารมณ์ว่า “บีเกลียดไอ้มาร์ค เกลียดมันค่ะคุณย่า”
คุณหญิงกอดหลานสาวไว้ด้วยความสงสาร สไบนางมองหน้าประมุขผู้เป็นลุง ตัดพ้ออย่างน้อยใจว่า
“บียังมีความฝันอีกเยอะแยะ มันไม่ใช่เวลาแต่งงานของบี นี่คุณลุงรักหน้าตัวเองมากขนาดยอมแลกกับอนาคตของบีเลยเหรอคะ”
“นี่ไม่ใช่แค่การแต่งงานธรรมดานะบี แต่มันคือการล้างหนี้ให้กับตระกูลของเรา” ประมุขหว่านล้อมเมื่อสไบนาง หันมองหน้าย่า ประมุขตอกย้ำว่า “ถ้าบีไม่ยอมแต่งงานแทนพี่เม เราจะล้มละลาย บ้านก็จะไม่มีให้ซุกหัวนอน คุณย่าก็จะต้องลำบากไปด้วยนะลูก”
สไบนางมองหน้าย่า คุณหญิงพานจะน้ำตาไหลเลยเบือนหน้าไปทางอื่นกลบเกลื่อนเสีย
“ทำเพื่อคุณย่ากับลุงสักครั้งได้ไหมบี ถือว่าขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไขกันทีหลัง”
สไบนางโผเข้ากอดย่าร้องไห้โฮออกมาอย่างกดดัน คุณหญิงได้แต่ลูบหลังหลานสาวด้วยความสงสาร ประมุขเองก็สงสารหลานแต่ความเห็นแก่ตัวมีมากกว่าความสงสาร...
ooooooo
ในที่สุด พิธีแต่งงานก็เริ่มขึ้น มีพิธีรดน้ำสังข์ที่โถงบ้าน เจ้าบ่าวอุปมานั่งหน้านิ่งขรึมสวมมงคลพร้อมรอรดน้ำสังข์อยู่ข้างๆเจ้าสาวสไบนางที่ตาแดงก่ำ กะพริบตาถี่ๆกลืนน้ำตาไม่หยุด
คุณหญิงรุจาเข้ามารดน้ำสังข์ให้เจ้าบ่าวต่อด้วยรดเจ้าสาว พูดพอได้ยินกันแค่สามคนว่า
“ขอบใจทั้งสองคนมากที่ช่วยรักษาหน้าผู้ใหญ่ ผ่านงานวันนี้ไปก่อน แล้วเราค่อยหาทางแก้ไขกัน” แล้วพูดกับสไบนางอย่างสะเทือนใจจนน้ำตาคลอ “ย่าขอโทษนะบี”
คุณหญิงรีบเดินออกไปก่อนที่น้ำตาจะไหลท่วม บารมีเดินเข้ามารดน้ำสังข์ สั่งลูกชายเสียงเข้ม
“แกห้ามล่วงเกินน้องเด็ดขาดเข้าใจไหมมาร์ค นี่คือคำสั่ง...รับปากพ่อ” เมื่ออุปมารับปาก บารมีเดินไปรดน้ำสังข์ ให้สไบนางต่อ พูดอ่อนโยนอย่างเห็นใจ “คิดเสียว่านี่คือการเล่นละครฉากนึงก็แล้วกันนะหนูบี”
สไบนางช้อนตาขึ้นมอง บารมีพูดจริงจังว่า “ลุงจะดูแลชีวิตหนูและหาทางชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหนูในวันนี้ให้ดีที่สุด ลุงสัญญา”
“ชีวิตบีจบแล้วล่ะค่ะลุงมี” สไบนางทนไม่ได้ร้องไห้ออกมา ถูกมาร์คแขวะว่าจะร้องทำไมนักหนา ดีใจมากหรือ สไบนางจิกมองด่าเบาๆ “ไอ้บ้ามาร์ค ฉันเกลียดแก”
“ฉันรักเธอตายล่ะ” อุปมาพึมพำใส่แล้วทำหน้านิ่ง
“ชีวิตฉันพังพินาศหมดแล้ว” สไบนางร้องไห้โฮออกมาคาตั่งรดน้ำสังข์นั่นเอง...
ooooooo
ย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน...
ที่บ้านสวน สไบนางในวัย 17 ปี เด็กสาวผู้แก่นแก้ว ดื้อรั้น มั่นใจตัวเอง และเอาแต่ใจนุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืด ไปกระโดดน้ำเล่นที่สะพานสูง โดยมีระเบียบเด็กหญิงรุ่นน้องเป็นลูกไล่
ทั้งสองไปกระโดดน้ำจากสะพานสูง จนยายจันทร์คนเฝ้าบ้านสวนตกใจเฝ้ามองอย่างใจหายใจคว่ำจนสไบนางโผล่ขึ้นมาจึงโล่งอก
เมื่อกลับถึงบ้าน บังอรบอกให้รีบไปอาบน้ำสระผมเดี๋ยว จะเป็นหวัด สไบนางเถียงว่าตนหัวแข็งอยู่แล้วไม่เป็นไรหรอก ครั้นวิจิตรามาเห็นถามว่าไปทำอะไรมา ก็ตอบหน้าตายว่าโดดน้ำคลองเล่นมา
วิจิตราบ่นว่าไม่รู้จักโตเสียที แทนที่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย สอนให้เอาอย่างพี่เมเขาที่เรียนเก่งได้เกียรตินิยมอันดับ 1
สไบนางพูดต่อให้อย่างรู้ทางว่า “สอบทุนรัฐบาลได้ไปเรียนเมืองนอกได้ทำงานมีหน้ามีตาในกระทรวงต่างประเทศ” เลยถูกวิจิตราเอ็ดว่าตนเตือนเพราะความหวังดี พอดีคุณหญิงรุจาเดินมาได้ยินถามว่า มีอะไรกันอีก แต่พอเห็นสภาพเปียกม่อลอก ม่อแลกของสไบนางก็บ่นว่าไปเล่นน้ำคลองมาอีกแล้วสินะ
สไบนางยิ้มแหยๆ ครั้นคุณย่าไล่ให้ไปอาบน้ำก็ทำพูดทะเล้นว่า “ขอบคุณค่ะคุณย่า มาช่วยชีวิตหนูทันพอดี” แล้วโผเข้ากอดทั้งที่ตัวเองเปียก จนคุณหญิงโวยวายไล่ให้รีบไปอาบน้ำเสีย
เมื่อสไบนางวิ่งขึ้นห้องไปแล้ว วิจิตรายังบ่นว่าไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย คุณหญิงเหล่มองสะใภ้อย่างไม่พอใจนัก สั่งบังอรให้ช่วยเก็บเสื้อผ้าของสไบนางให้เรียบร้อยด้วยพรุ่งนี้จะกลับแล้ว
“เอ่อ...คุณแม่ค่ะ ที่ท้ายคลองใครย้ายมาอยู่เหรอคะ เห็นสร้างบ้านซะใหญ่โต” วิจิตราถาม
“แม่ก็ไม่แน่ใจนะ กว้านซื้อที่ไปทั่ว เห็นยายจันทร์บอกว่าเป็นเศรษฐีย้ายกลับมาจากเมืองนอก”
ooooooo

บ้านใหญ่โตหลังที่ว่านั้น คือบ้านไทยประยุกต์ที่บารมีสร้างให้อุปมาผู้เป็นลูกชายนั่นเอง หัสดินที่เป็นสถาปนิกเพื่อนสนิทของอุปมาซึ่งดูแลงานนี้อยู่ บอกบารมีว่า ได้ติดต่อขอซื้อที่ดินทำถนนไว้แล้วเขาเรียก 7 ล้าน 5
บารมีเห็นว่า 7 ล้าน 5 แพงไปสำหรับความจริง แต่ถูกมากถ้าจะทำให้ความฝันเป็นจริง หันมองไปรอบๆถอนใจ พลางรำพึง
“สามสิบกว่าปี ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก แต่ลุงก็ดีใจนะที่ได้กลับมาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้อีกครั้ง ไม่ใช่สิ ของเจ้ามาร์คมันตะหาก บ้านลุงหลังเล็กโน่น”
บารมีชี้แจงว่าตนไปๆมาๆจะอยู่บ้านหลังใหญ่ทำไม สร้างบ้านหลังนี้ไว้เป็นเรือนหอของมาร์คต่างหาก หัสดินตกใจพึมพำงงๆ “เรือนหอเหรอครับ...”
ooooooo
ตกค่ำสไบนางในชุดอยู่กับบ้าน รำไทยโชว์คุณหญิง ประมุข บังอร และยายจันทร์ดูที่ลานบ้าน ยายจันทร์คนเก่าแก่ชมว่ารำได้สวยงามไม่แพ้คุณแม่เธอเลย บังอรยิ้มปลื้มบอกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็แบบนี้แหละ
รำโชว์เสร็จประมุขให้รางวัลหลานสามพันบาท ทำเอาสไบนางดีใจจนเต้นเป็นลิงเป็นค่างรับเงินแล้วยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มประมุขซ้ายขวา จนคุณหญิงพูดขำๆว่า
“ตายๆนางรำฉันกลายเป็นหนุมานไปเสียแล้ว”
ส่วนวิจิตรานั่งหน้าบึ้งตำหนิประมุขว่าให้มากไปรำกะโหลกกะลาแก้บนแค่นี้ให้ร้อยสองร้อยก็พอแล้ว เลยทำให้บรรยากาศกร่อยไปทันที ยายจันทร์บ่นเบาๆ
“วงแตกแล้วคุณบังอร...นังเบียบไปนอน”
สไบนางไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับคำตำหนิของวิจิตรา ซ้ำยังย้อนถามว่าแล้วเมธาวีรำได้สวยเท่าตนรึเปล่าล่ะ ทำให้วิจิตราโกรธ พาลหาว่าสไบนางทำแต่เรื่องไร้สาระ อยากรู้นักว่าเอาเวลาตอนไหนไปอ่านหนังสือสอบ จนคุณหญิงตัดบทไล่ให้สไบนางไปอ่านหนังสือในห้องเสีย
วิจิตราบ่นไม่พอใจหาว่าทุกคนถือหางสไบนางจนแตะต้องไม่ได้น่าหมั่นไส้นัก แต่ประมุขกลับเห็นว่าเด็กรุ่นใหม่อย่างสไบนางสนใจอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างนี้น่าชื่นชมมากกว่า
“เข้าข้างกันเสียจริ๊ง คุณก็เลิกรักหลานสาวให้มันออก นอกหน้าได้แล้วนะ ยัยเมน้อยใจจะตายอยู่แล้ว รู้ตัวมั่งไหมว่าลูกสาวในไส้ตัดพ้อว่าพ่อรักบีมากกว่าตัวเองให้ฉันฟังแทบทุกคืน ฉันสงสารลูกจนพูดไม่ออกเพราะคุณทำตัวน่าเกลียดยังงั้นจริงๆ”
ว่าแล้วค้อนกระแทกใส่อีกทีก่อนเดินไป ประมุขสบตาคุณหญิงอย่างอ่อนใจ คุณหญิงถอนใจแล้วเบือนหน้าไปอีกทางอย่างไม่อยากออกความเห็น
ooooooo
เมธาวีในวัย 24 ปี ลูกหัวแก้วหัวแหวนของวิจิตรา เป็นญาติผู้พี่ของสไบนาง เธอดีพร้อมทุกกระเบียดนิ้ว วางมาดระเหิดระหงตลอดเวลา มีเพื่อนชายคนสนิทคืออาทิตย์ ผู้กองหนุ่มนักเรียนนอก
คืนนี้ ทั้งเมธาวีและอาทิตย์กับเพื่อนๆ ที่ไปเที่ยวชะอำเดินคุยกันที่หน้าตลาดโต้รุ่งเพื่อหาอะไรทานกัน แต่เมธาวีไม่ยอมเข้าตลาด เธอหยุดมองอย่างรังเกียจ บอกอาทิตย์ว่าอยากนั่งร้านห้องแอร์ บรรยากาศดีๆสบายๆไม่ต้องมาเบียดเสียดผู้คนอย่างนี้
อาทิตย์เห็นว่ามาทะเลทั้งทีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเพราะร้านแบบนั้นก็ทานกันที่กรุงเทพฯเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เมธาวีไม่ยอมจะปลีกตัวไป ชายหนุ่มจึงตามไปโดยโทร.บอกเพื่อนๆว่าเมธาวีไม่สบายต้องพากลับ นัดเจอกันที่โรงแรมก็แล้วกัน
เมธาวีพอใจที่อาทิตย์ต้องตามใจตน เห็นตนสำคัญกว่าเพื่อนๆกลุ่มนั้น
ooooooo
สไบนางก็มีเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เด็กคือชันษา ชันษาเรียนจบมีอาชีพเป็นทนายความเล็กๆ แต่ก็ยังเล่นกับสไบนางเหมือนตอนเด็กๆ มีความรู้สึกดีๆกับสไบนาง แต่สไบนางแก่นกะโหลกจนไม่สนใจอะไร
วันนี้ชันษามาหาแต่เช้า บังอรขึ้นไปตาม สไบนางวิ่งพรวดๆลงมา ชนวิจิตราที่เดินเลี้ยวจากห้องรับแขกพอดี เลยโดนตำหนิตามเคยทั้งยังทวงคำขอโทษด้วย สไบนางยกมือไหว้ขอโทษอย่างขอไปที ยังโดนด่าว่าเดินประสาอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ

“ม้าอยู่ในคอก เรืออยู่ในคลอง บีเดินในบ้าน คุณป้าก็เดินในบ้าน ไม่มีใครเป็นม้าเป็นเรือ” สไบนางกวนประสาท เลยถูกด่าอีกรอบว่าเถียงคำไม่ตกฟาก ทั้งยังถามว่าเมื่อไหร่จะทำตัวเป็นกุลสตรีได้อย่างเมธาวีเสียที

สไบนางลอยหน้าถามว่า เมื่อไหร่จะเลิกเอาตนไปเปรียบเทียบกับเมธาวีเสียที ตนไม่อยากเลียนแบบใคร วิจิตรา ยังไม่ยอมหยุดพูดยกย่องชมเชยลูกสาวตัวเองทับถมสไบนาง จนสไบนางเริ่มโกรธท้าทายว่า

“บีไม่มีวันเป็นเหมือนพี่เม อะไรที่ทุกคนเห็นว่าพี่เมทำแล้วดี น่าชื่นชม บีจะไม่ทำ บีจะทำทุกอย่างตรงข้ามกับพี่เมให้หมดเลย” พูดแล้วเดินปึงปังไปเลย

วิจิตราจ้องจิกตาม คำรามเบาๆ “จองหอง!”

ooooooo

    

เมื่อมาพบชันษา เขาชวนไปวิ่งกัน สไบนางถามว่าตอนนี้หรือ เลยถูกชันษาแหย่ว่าหรือยังอยากนอนอยู่ สไบนางเลยคุยอวดว่าตนตื่นเตรียมพร้อมตั้งแต่ตี 5 แต่มีเวลาเลยเอนหลังเผลอหลับไป แล้วนัดเป็นพรุ่งนี้ค่อยมาวิ่งกัน ชันษาบอกว่าพรุ่งนี้ตนไม่อยู่จะไปว่าความกับลูกพี่ที่พิษณุโลก ถามว่าอยากได้อะไรไหม พลางมองไปรอบๆ ถามว่าเมธาวีไม่อยู่หรือ
สไบนางบอกว่าไปเที่ยวกับเพื่อนที่ชะอำ ชันษาพึมพำอย่างขอความเห็นว่าไม่รู้จะซื้ออะไรมาฝากเมธาวีดี สไบนางเลยฉอดๆ ว่าเมธาวีไม่รับของฝากจากต่างจังหวัดหรอกถ้าเป็นของต่างประเทศว่าไปอย่าง

“ชันรู้นะว่าบีไม่ชอบคุณเม เพราะคุณย่าและทุกๆคนชอบเคี่ยวเข็ญให้บีเอาอย่างคุณเม”

สไบนางหยุดกึกมองชันษาตาขวาง ชันษายังถามอีกว่าแล้วเมธาวีรู้ไหมว่าเธอทำตัวเป็นปรปักษ์ลับหลังตลอดมา สไบนางเสียงเขียวปราม “พูดให้ดีนะชัน”

“ชันรักบี ไม่อยากให้บีมีความคิดมืดๆครอบงำจิตใจอย่างนี้ การยอมรับความสำเร็จของคนอื่นเป็นสิ่งดีนะบี คุณเมเก่งและเป็นคนดี ถึงจะเจ้ายศเจ้าอย่างเลือกคบคนอยู่บ้างก็เป็นสิทธิ์ของเขา”

“ถูก การเลือกคบคนเป็นสิทธิ์ของพี่เม ความงี่เง่าหลงรักเขาข้างเดียวโดยที่เขาไม่ยินดีด้วย มันก็เป็นสิทธิ์ที่ชันควรได้รับเหมือนกัน”

ถูกพูดแทงใจดำเข้า ชันษาก็หน้าจ๋อย สไบนางรุกต่ออย่างไม่ยั้ง

“ความคิดจะสว่างจะมืดมัวยังไงก็เรื่องของบี ชันไม่เกี่ยว ชันเป็นคนยอมรับสิทธิของแต่ละคนใช่ไหม ต่อไปบีตัดสิทธิ์ไม่รับชันเป็นเพื่อน ไปให้พ้นเลย” สไบนางผลักอกชันษาแล้วเดินเข้าบ้านไปเลย

ชันษาไม่ถือสาพูดตามหลังว่าเธอพูดแบบนี้เป็นครั้งที่ 1,026 แล้ว เมื่อวันศุกร์พูดอีกหนเป็น 1,027 สไบนางหันมองตาเขียวคำราม “ไอ้ชัน” แล้วคว้าของใกล้มือขว้างใส่จนชันษาหลบแทบไม่ทัน แต่เขาไม่โกรธ ไม่ถือสาเพราะชินชากับนิสัยของเธอตั้งแต่เด็กแล้ว

ooooooo

โมโหจนหน้ามืดตามัวเดินปึงปังเข้าบ้าน เกือบชนวิจิตราเข้าอีก แต่คราวนี้สไบนางไม่หยุดไม่มองเดินเลี่ยงขึ้นบันไดไปเลย ถูกด่าตามหลัง “นังม้าดีดกะโหลก”

แต่พอวิจิตราออกไปเจอชันษาก็ถามเสียงอ่อนโยนว่าจะกลับแล้วหรือ พูดหยอกเหยียดๆตามเคยว่ามุดรั้วกลับอีกล่ะสิ
ชันษารู้จักวิจิตราดีแต่ตอบอย่างสุภาพว่าตนไม่ใช่เด็กๆแล้ว ก็ยังถูกหยอกแกมหยิกว่านึกว่าไม่ยอมโตเสียอีก ไม่วายชมอย่างดูถูกในทีว่า “ได้ยินว่าอุตส่าห์เรียนจบกับเขาได้ เก่งเหมือนกันนะ”

จากนั้นก็วกมาชมลูกสาวตัวเองเสียเลอเลิศ จนชันษาเกือบเดินหนีเพราะทนฟังไม่ได้ วิจิตราพูดดูถูกทิ้งท้ายว่า “ตั้งอกตั้งใจทำงานนะ เพื่อนนำไปไกลแล้ว” ชันษาก็ได้แต่นิ่งอย่างเก็บอารมณ์

แยกจากวิจิตรามาแล้วชันษาเดินมาเห็นรอยแยกของคอนกรีตที่ฐานรั้วซึ่งเป็นรูที่พวกตนเคยมุดผ่านไปผ่านมาระหว่างสองบ้านเมื่อตอนเด็ก อดคิดถึงชีวิตในวัยเยาว์ไม่ได้

เวลานั้น สไบนางเพิ่งจะ 5 ขวบ เมธาวี 11 ขวบและชันษา 13 ขวบ อยู่ในวัยไล่เลี่ยที่เล่นกันได้อย่างสนุก เขากับสไบนางมุดรั้วข้ามไปมาแต่เมธาวีไม่ยอมมุดเธอต้องเดินเข้าออกทางประตูเท่านั้น

คิดถึงความหลังแล้วอยากลองมุดรั้วดูอีกที แต่ไม่ทันมุดก็ได้ยินเสียงแตรรถดังเข้ามา หันไปดูจึงเห็นเมธาวีนั่งหน้าเชิดอยู่ข้างคนขับ หนุ่มร่างใหญ่มาดดี ที่รีบลงมาเปิดประตูรถให้

เมธาวีสั่งคนรับใช้ให้ไปขนของลงจากท้ายรถแล้วชวนชายหนุ่มขึ้นไปไหว้คุณย่ากับคุณแม่ก่อน ชายหนุ่มตอบรับอย่างยินดีว่า “ได้ครับ จะได้ถือโอกาสฝากเนื้อฝากตัวกับคุณย่าเสียเลย”

ชันษาหยุดมองอยู่อย่างนั้นจนวิจิตราออกมารับชายหนุ่มเข้าบ้านไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดี ชันษาได้แต่ถอนใจเมื่อดูสภาพตัวเอง แล้วตัดสินใจมุดรั้วกลับบ้านไปอย่างเจียมตัว

ooooooo

เมื่อเข้าไปนั่งในห้องรับแขก วิจิตราแนะนำแก่คุณหญิงรุจาว่า

“คุณแม่คะ นี่ร้อยตำรวจเอกอาทิตย์ สุริโย เพื่อนลูกเมค่ะ”

อาทิตย์ยกมือไหว้ คุณหญิงรับไหว้ถามว่าไหนว่าจะกลับเมื่อวาน อาทิตย์ชี้แจงว่าเมื่อวานปาร์ตี้กันหนักไปหน่อยตนกลัวจะไม่ปลอดภัยเลยกลับเช้ามืดแทน วิจิตราชมเปาะว่าดีแล้วให้ปลอดภัยไว้ก่อนเพราะอนาคตยังไกลทั้งคู่

เมธาวีขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปทำงาน ส่วนวิจิตราขอตัวไปสั่งเด็กจัดกาแฟกับของว่างมาให้อาทิตย์ ชายหนุ่มจึงนั่งคุยกับคุณหญิงตามลำพัง

เมธาวีเดินขึ้นข้างบนสวนกับสไบนางที่วิ่งตึงตังลงมา เธอมองการแต่งตัวของสไบนางแล้วเตือนให้แต่งดีหน่อยเพราะวันนี้ตนมีแขก สไบนางถามว่าต้องแต่งส่าหรีเต้นทำคอยึกยักด้วยไหม แล้วทำท่าเต้นยึกยักเมธาวีฉุนไล่จะไปไหนก็ไปเลย

ลงมาเจออาทิตย์นั่งอยู่กับคุณย่า สไบนางถูกคุณย่าบอกให้ไหว้พี่เขาแล้วแนะนำแก่อาทิตย์ว่า

“หลานสาวคนเล็ก ลูกของน้องชายลุงประมุขเขา”

อาทิตย์มองพูดยิ้มๆว่ามิน่าถึงไม่ค่อยเหมือนเมธาวีเท่าไร สไบนางพึมพำให้ได้ยินว่าตนก็ไม่อยากเหมือนหรอก แล้วจะเดินไป คุณหญิงบอกให้นั่งคุยกันก่อน สไบนางพูดหน้าซื่อตาใสว่าเป็นเพื่อนพี่เมก็คุยกับพี่เมสิถึงจะถูกคอ

กิริยาแก่นห้าวการพูดจายียวนเล่นลิ้นของสไบนางทำให้คุณหญิงต้องพูดออกตัวกับอาทิตย์ว่า อย่าถือสาเลยเพราะน้องยังเด็ก เพิ่งจะจบ ม.6 เอง อาทิตย์ยิ้มอย่างเอ็นดูบอกว่าไม่เป็นไรตนเป็นคนสบายๆ

ooooooo

วันนี้เป็นวันสอบเสร็จ ลุงแก้วคนขับรถไปรับสไบนางที่โรงเรียน ปรากฏว่าเธอไม่ยอมกลับบ้านแต่ชวนเพื่อนๆไปเที่ยวบ้านสวนด้วยกัน ลุงแก้วบอกว่าคุณย่าฝากเรียนพิเศษกับคุณหญิงฉัตรที่บ้านไว้แล้ว แต่สไบนางไม่ยอมต้องไปวันนี้ให้ได้ ถ้าลุงแก้วไม่ไปส่งก็จะเรียกแท็กซี่ไปเอง

สุดท้ายลุงแก้วต้องยอมขับรถพาไปที่บ้านสวนจนค่ำ เมธาวีอยู่ที่บ้านโทรศัพท์หาประมุขแต่พ่อไม่รับสายเธอบ่นอย่างหงุดหงิดว่าสงสัยต้องใช้เบอร์หลานสาวโทร.ถึงจะรับ วิจิตราบอกว่าเดี๋ยวพ่อก็โทร.กลับมาเองแหละ แล้วหันไปคุยต่อกับคุณหญิงอย่างติดลมว่า

“พ่อของอาทิตย์เป็นนายทหารรุ่นพี่ของคุณประมุข ตอนนี้ใหญ่โตเชียวล่ะค่ะ เสียดายถ้าคุณพี่ไม่ออกจากราชการเสียก่อนคงใหญ่โตไม่แพ้กัน” คุณหญิงติงว่าอย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บอีกเลย วิจิตราจึงเล่าต่อว่า “ส่วนแม่อาทิตย์ก็คุณหญิงทิพยาไงคะ คุณแม่น่าจะเคยได้ยินชื่อเธอ คนนี้ดังมากในหมู่ไฮโซ”

เมธาวีบ่นแม่ว่าจะเยินยออาทิตย์อีกนานไหมตนยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะคบเขาเป็นแฟนเพราะตนยังมีโอกาสเลือกอีกเยอะ ซึ่งคุณหญิงก็เห็นด้วย บอกให้คบกันไปดูกันไปไม่ต้องรีบร้อน หน้าที่การงานเราดีมีโอกาสเจอคนดีๆอีกเยอะ ซึ่งเมธาวีก็รับคำทันที แล้วชวนไปทานข้าวดีกว่า คุณหญิงบอกว่าจะรอสไบนางก่อน

วิจิตราพูดประชดว่าไม่เห็นหน้าหลานรักคุณย่าทานข้าวไม่อร่อยหรอก เลยถูกคุณหญิงปรามว่า อย่าพูดจาส่อเสียดให้หลานแตกแยกกันเลย วิจิตราจึงเงียบไป พอดีลุงแก้วเดินหน้าเจื่อนเข้ามารายงานว่า สไบนางไม่ยอมกลับจะค้างที่บ้านสวน พลางส่งสมุดผลการเรียนให้คุณหญิง

คุณหญิงตำหนิลุงแก้วว่าทำไมไม่โทร.บอกก่อน ลุงแก้วบอกว่าสไบนางยึดโทรศัพท์ไป กระนั้นก็ยังถูกดุว่าโทรศัพท์สาธารณะก็มีทำไมไม่โทร. แล้วลุกเดินไปที่โต๊ะอาหารบ่นอุบอิบ

“ฉันเบี้ยวนัดหญิงฉัตรยอมให้ไปเล่นที่บ้านสวนก็น่าจะพอแล้ว”

ooooooo

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย บทประพันธ์ พัดชา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ผิน เกรียงไกรสกุล
  • 11 กันยายน 2554, 08:31 น.

No comments:

Post a Comment

My Blog List